ศธ.เคาะยุบโรงเรียน
สพฐ.ยันยึด3เกณฑ์
ฮึ่มฟันครูก่อม็อบต้าน
โพลล์ชี้ผู้ปกครองค้าน
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)มีนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กว่า นโยบายดังกล่าวเป็นความตั้งใจของ รมว.ศธ. ที่ต้องการให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ หากบางโรงเรียนมีครู 2-3 คน มีนักเรียน 20 คน จะทำกิจกรรมแทบไม่ได้ ก็ไม่ได้ประโยชน์
ทั้งนี้ ศธ.ยืนยันหลักการการยุบโรงเรียนขนาดเล็กยังจะยึด 3 ข้อคือ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียน ไม่เป็นภาระของเด็ก และไม่ขัดแย้งกับชุมชน ที่สำคัญอยากให้สังคมรับฟังเหตุผลและพยายามเข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐบาล ไม่ใช่จับประเด็นเพียง ว่า ศธ.จะยุบโรงเรียน แล้วนำมาเคลื่อนไหวคัดค้าน เพราะอาจทำให้กรณีดังกล่าวถูกโยงเป็นไปเครื่องมือทางการเมือง และต่อไปอาจไม่มีผู้บริหาร ศธ.คนไหนกล้าออกมาพูดหรือเดินหน้านโยบายในเชิงสร้างสรรค์
“เราจำเป็นต้องขับเคลื่อนนโยบายนี้เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่ทำแล้วอีกหน่อยโรงเรียนเล็กมีถึง 2 หมื่นโรง แล้วจะจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้อย่างไรพอ ศธ.ประกาศจะยุบโรงเรียนเล็ก บางคนไม่ยอมฟังเหตุผล และพูดเหมือนกับว่าเรามีทรัพยากรมาก จากนั้นนำเรื่องงบประมาณมาเป็นประเด็นหลักในการเคลื่อนไหวต่อต้าน เมื่อเป็นแบบนี้การบริหารงานจะลำบาก เพราะใช้กำลังคนหมู่มาก ซึ่งคนที่เข้ามาบริหารกระทรวงนั้นต้องพิจารณาอยู่แล้วว่า ต่อไปงบประมาณจะงอกขึ้น แต่คุณภาพไม่งอกตามจะทำอย่างไร ขณะเดียวกันถ้าชุมชนไม่ต้องการให้ยุบเราก็ไม่หลับหูหลับตา ไม่บังคับอยู่แล้ว” นายชินภัทรกล่าว
และว่า อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)กำลังติดตามการเคลื่อนไหวคัดค้านที่เกิดขึ้น หากมีบุคลากรในสังกัดเข้าร่วม ต้องพิจารณาว่าเคลื่อนไหวในขอบเขตที่เหมาะสมหรือมีพฤติกรรมกระทบกระเทือนต่อหน่วยงานหรือไม่ ทุกคนมีสิทธิแสดงออก แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย ถ้าเป็นข้าราชการต้องคำนึงถึงกฎระเบียบ อยากให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี
เลขาธิการ สพฐ.กล่าวต่อว่า วันที่ 24 พฤษภาคมนี้ เขตพื้นที่ประถมศึกษา 162 เขต จะส่งข้อมูลผลสำรวจการดำเนินการ
โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ให้สพฐ. จากนั้น ตนจะมอบหมายให้สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังเคราะห์ภาพรวม ก่อนสรุปจำนวนโรงเรียนที่คาดว่าเข้าข่ายจะยุบรวมตามแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กประจำปีการศึกษา 2556 ภายในวันที่ 31พฤษภาคม ส่วนข้อเสนอจากพรรคประชาธิปัตย์เรื่องการบริหารจัดการชั้นเรียนนั้น ถือเป็นนวัตกรรมที่ สพฐ.ใช้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเป็นนโยบาย เพื่อให้แต่ละเขตพื้นที่พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมของพื้นที่เอง
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองทั่วประเทศ 1,292 คน ระหว่างวันที่ 8-11 พฤษภาคม พบว่า สิ่งที่ผู้ปกครองวิตกกังวลในช่วงเปิดเทอม อันดับ 1 คือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียน เช่น ค่าเทอม ค่าเสื้อผ้าชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน อันดับ 2 ความปลอดภัยในการเดินทางไปเรียนของบุตรหลาน อันดับ 3 การเตรียมพร้อมของเด็ก และอันดับ 4 บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน
สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการให้รัฐบาลและศธ.ดำเนินการคือ เร่งพัฒนาการศึกษาไทยให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐาน มีหลักสูตรชัดเจน การเรียนการสอนได้มาตรฐาน ส่งเสริมสนับสนุนทางการศึกษา ให้เท่าเทียมเสมอภาคกัน
ส่วนกรณีศธ.มีนโยบายจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด และให้การจัดการศึกษามีคุณภาพ พบว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ถึง 60.09% ไม่เห็นด้วย เพราะนักเรียน ครูและผู้ปกครองได้รับผลกระทบ ทั้งด้านการเดินทาง การปรับตัว ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน มีเพียง 17.20% ที่เห็นด้วยเพราะ ศธ.จะควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น การบริหารจัดการเป็นระบบเด็กได้รับการดูแลทั่วถึง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี