การก้าวย่างเข้าสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ของประเทศไทยในปี 2558 แม้จะถูกแยกย่อยออกเป็น 3 เสาหลัก คือ 1.ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community หรือ APSC) 2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) และ 3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community หรือ ASCC)
แต่แง่มุมที่ถูกหลายฝ่ายจับตามอง และต่างเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น คงหนีไม่พ้นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเสาหลักด้านเศรษฐกิจอย่าง “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือที่คน ไทยเรียกกันอย่างติดปากว่า “เออีซี” นั่นเอง
เพราะทุกคนต่างเชื่อว่า นี่คือ “โอกาส” อีกครั้งของประเทศไทย ที่จะแสดงศักยภาพในการแข่งขันด้านการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตร รวมทั้งความเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
“กลุ่มสินค้าประมง” ก็นับเป็นกลุ่มสินค้าการเกษตรอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ตั้งแต่ระดับนโยบายในรัฐบาลไปจนถึงระดับหน่วยงานผู้ปฏิบัติ เพราะต่างเชื่อว่า การก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมาช่วยเติมเต็มศักยภาพการผลิตสินค้าของประเทศไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
“เรากำลังเตรียมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็น ASEAN Seafood Hub ภายในปี 2558” นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกริ่นนำ พร้อมกับขยายความว่า “การดำเนินการเรื่องนี้ นับเป็นโอกาสดีจากการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ให้เกิดประโยชน์ต่อการผลิตและการค้าสินค้าประมงของไทยและกลุ่มประเทศสมาชิก โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานของอาเซียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกสินค้าประมง ไปยังตลาดโลก”
นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้กรมประมงเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย ASEAN Seafood Hub ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ คือ
1.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสัตว์น้ำ โดยเน้นการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์และผลิตสัตว์น้ำที่มีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ กุ้งและปลานิล เร่งวิจัยแนวทางการลดต้นทุนในการเพาะเลี้ยง เช่น พัฒนาสูตรอาหารสัตว์น้ำ และลดพลังงานที่ใช้ในการเพาะเลี้ยง รวมทั้งสร้างศูนย์ผลิตพันธุ์กุ้งทะเลระบบเทคโนโลยีชีวภาพ
2.เพิ่มประสิทธิภาพระบบการควบคุมคุณภาพสินค้าประมงตลอดห่วงโซ่การผลิต แม้ปัจจุบันระบบการควบคุมคุณภาพสินค้าประมงตั้งแต่ระดับฟาร์ม โรงงานแปรรูป และสินค้าส่งออกของไทย จะมีมาตรฐานที่ดีกว่าประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน แต่ยังต้องมีการพัฒนาและยกระดับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่มีข้อกำหนดใหม่ๆ รวมทั้งข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งไม่ขัดกับกฎระเบียบของเวทีการค้าโลก
3.รักษาปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจากการทำประมงร่วมในน่านน้ำต่างประเทศ ซึ่งกรมประมงร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการของไทย ในการเจรจากับรัฐบาลประเทศอื่นๆ เพื่อหาแหล่งพื้นที่ทำการประมงเพิ่มเติม และร่วมลงทุนด้านการแปรรูปสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย และพม่า ซึ่งเป็นแหล่งการทำประมงขนาดใหญ่
4.สนับสนุนการค้าและการลงทุนร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยดำเนินงานร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำนักงานทูตพาณิชย์ในต่างประเทศ และสมาคม ชมรม ผู้ประกอบการที่สนใจ ซึ่งนอกจากการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว กรมประมงยังให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพ โดยจะจัดให้มีการจับคู่ธุรกิจประมงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ลาว พม่า กัมพูชา
5.จัดงานแสดงสินค้าประมงระดับนานาชาติในประเทศไทย พร้อมกับการสัมมนาวิชาการประมง การเจรจาธุรกิจประมง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการ SME รวมทั้งผู้ประกอบการของประเทศอาเซียน มีโอกาสในการประชาสัมพันธ์และนำเสนอสินค้าประมงให้กับผู้นำเข้าจากทั่วโลก
ด้านดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่กรมประมงได้ดำเนินการไปแล้วในปีงบประมาณ 2556 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น ASEAN Seafood Hub คือ
1.การจัดตั้งธนาคารพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำที่ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อรวบรวม และขยายพันธุ์สัตว์น้ำที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์แล้ว โดยจะเริ่มแจกจ่ายสัตว์น้ำพันธุ์ดี และจัดฝึกอบรมการเพาะพันธุ์ให้กับเกษตรกรในปีงบประมาณ 2557 เพื่อรองรับความต้องการลูกพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อการเพาะเลี้ยง ทั้งการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก
2.ศึกษาวิจัยการลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เลี้ยงสัตว์น้ำคู่กับการปลูกพืชไร้ดิน ปรับปรุงการบริหารจัดการฟาร์มเพื่อลดการใช้พลังงาน
3.พัฒนาระบบการตรวจรับรองมาตรฐานฟาร์มสัตว์น้ำให้เป็นที่ยอมรับตามแนวทางมาตรฐานสากล
4.จัดตั้งท่าเรือประมงนำร่องตามมาตรการรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State Measures) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ซึ่งเมื่อเข้าสู่ AEC แล้ว คาดว่าจะมีการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกมากขึ้น
5.นำภาคเอกชนและ BOI ไปเจรจากับกรมประมงพม่า เพื่อต่อรองให้ต่อสัญญาอนุญาตให้ผู้ประกอบการไทยไปจับสัตว์น้ำในน่านน้ำพม่าได้ และศึกษาลู่ทางการไปลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ และเพาะเลี้ยงกุ้งที่พม่า
อธิบดีกรมประมง ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจว่า การดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ ทั้ง 5 ข้อ จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็น ASEAN Seafood Hub ได้ภายในปี 2558 ตามเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นช่องทางสำคัญ ในการสร้างรายได้จากการส่งออกสินค้าประมงให้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่สามารถทำได้เฉลี่ยปีละ 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% ของ GDP
ที่สำคัญ ยังจะทำให้เกิดการจ้างงานต่อเนื่องในสถานประกอบการแปรรูปสินค้า และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ซึ่งผลดีทั้งหมดย่อมตกอยู่กับคนไทยเป็นสำคัญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี