การลงภาคสนามชนบท ได้พูดคุยกับเกษตรกร สารพัด “ข้อมูล”จะหลั่งไหลออกมา
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับผืนนาใหญ่แห่งทุ่งเจ้าพระยา นั่นคือชาวนาเป็นข้าวของที่ดินในสัดส่วนที่น้อย
เกษตรกรที่มีที่นาน้อย ต้องเช่าที่นาจากเจ้าของนาหรือนายทุนเพิ่ม อัตราค่าเช่านามีตั้งแต่ถูกที่สุดไร่ละ 800 บาทจนถึงแพงสุด 2,000 บาท อันนี้เป็นการคิดต่อ 1 ฤดูปลูกเท่านั้น ต้นทุนการทำนาจึงแพงขึ้นมากในระยะไม่กี่ปีมานี้ เพราะจำเดิมคิดเป็นรายปี จะปลูกปีละกี่ฤดูไม่ว่ากัน แต่เมื่อราคาข้าว 15,000 บาท/ตัน เจ้าของที่นาก็ปรับราคาค่าเช่า และคิดฤดูต่อฤดูแทน
ส่วนเกษตรกรที่ไม่มีที่นาเลย ก็ต้องเช่าที่นาสถานเดียว ต้นทุนจึงสูงกว่าเกษตรกรที่มีที่นาบ้าง
การไม่มีที่นาหรือมีน้อยคือปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะในท้องทุ่งภาคกลางที่เป็นอู่ข้าว อู่น้ำของประเทศ
ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่อันเนื่องจากเป็นเขตชลประทาน หมายความน้ำท่าสมบูรณ์ดี พื้นที่นี้จึงเป็นที่หมายปองของคนที่มีเงินทุนหนา ทั้งพ่อค้า และนักการเมือง
น่าเสียดายว่า กรมที่ดินในฐานะเจ้าพนักงานกำกับดูแลที่ดิน น่าจะให้ความกระจ่างว่า ทั่วผืนแผ่นดินไทยนี้ มีใครบ้างถือครองที่ดินมากน้อยเพียงไร และใช้เพื่อการใดบ้าง
กลุ่มทุนไทย รวมถึงทุนต่างด้าว เข้ายึดครองผืนดินอุดมสมบูรณ์อย่างเงียบๆและเนิ่นนาน บางรายอาจถึงแสนไร่ ส่วนจะอยู่ในชื่อใคร ตัวจริงหรือตัวแทนอีกเรื่องหนึ่ง ในขณะนี้กลุ่มทุนสะสมความพร้อมในการขับเคลื่อนการผลิตด้วยตัวเองในลักษณะอุตสาหกรรมการทำนา ซึ่งมีการใช้เมล็ดพันธุ์ดี เครื่องจักรในการปลูกและเก็บเกี่ยว
ไม่ได้เป็นการเรียกคืนที่ดินเช่าจากชาวนามาทำเอง แต่อาจให้ชาวนายังคงทำนาต่อ(ในที่ดินที่เคยเป็นเจ้าของมาก่อนหรือพวกที่เช่าโดยตรง) โดยอยู่ภายใต้กรอบกติกาที่กลุ่มทุนกำหนด เพื่อให้การทำนาเป็นการทำนาเชิงพาณิชย์ที่เน้นเรื่องต้นทุนการผลิตและผลผลิตเป็นสำคัญ
กลุ่มทุนบางกลุ่มเป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์ และปัจจัยการผลิตแทบครบวงจร เช่น ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลการเกษตร โรงสี ตลาดการค้าข้าวภายใต้ยี่ห้อของตัวเอง
ลองทอดตาดู กลุ่มทุนหลายกลุ่มจะมีองค์ประกอบเช่นนี้ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อนำที่นามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
จะเป็นความผิดของกลุ่มทุนก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อเขามีสิทธิซื้อในขณะเกษตรกรมีสิทธิขาย แต่ต้องไม่ลืมว่า ภายใต้ความอุดมสมบูรณ์ของทุ่งรวงทองนี้ รัฐได้ลงทุนมหาศาลในการจัดทำระบบชลประทาน นับแต่การเวนคืนที่ดินเกษตรกรต้นน้ำ การลงทุนก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ระบบชลประทานได้แก่คลองส่งน้ำสายใหญ่ สายซอย กระทั่งคูส่งน้ำ และการจัดรูปที่ดิน
การลงทุนของรัฐเพื่อเอื้อเกษตรกรอย่างเสมอภาค กลับเป็นการลงทุนเพื่อให้กลุ่มทุนใช้ประโยชน์อย่างเสรี เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่ากังวล พอๆกับเกษตรกรกลายสภาพเป็นแรงงานในท้องนาที่ไม่ต่างจากลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม
ทุกวันนี้เกษตรกรเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู ปลูกข้าวโพด และฯลฯ ก็มีสภาพไม่ต่างจากลูกจ้างเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู ลูกไร่ อยู่แล้ว
การขับเคลื่อนประเทศโดยหวังเพิ่มตัวเลขรายได้ประชาชาติหรือจีดีพี มันก็แค่ภาพลวงตา ลึกลงไปแล้วมีแต่กลุ่มทุนเท่านั้นที่เติบใหญ่และสูบทุกอย่างเข้าตัวเอง ไม่นับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่อยู่ในสถานะเดียวกับกลุ่มทุน
จะสามานย์หรือไม่สามานย์ นี่คือทุนนิยมที่กลืนกินคนที่กำลังวังชาน้อยกว่าเสมอ
วิชชา ชาญเขตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี