ปัญหาการนำทุเรียนอ่อนมาขายปะปนกับทุเรียนแก่ สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของทุเรียนไทยโดยรวมอย่างมาก ทำลายความเชื่อมั่นต่อผู้จำหน่ายและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอย่างรุนแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังทั้งในส่วนของผู้ผลิต ผู้ประกอบการรับซื้อ รวมทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ในฐานะที่กรมฯ เป็นผู้จัดการการเกษตรในพื้นที่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ จึงระดมแกนนำเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกที่เป็นฐานสำคัญในการผลิตทุเรียนของประเทศ ได้แก่ จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด มาร่วมกันวางมาตรการป้องกันและสกัดกั้นไม่ให้มีทุเรียนอ่อนหลุดรอดจากสวนไปได้
ทั้งนี้ ได้กำหนดแนวทางและมาตรการที่เข้มงวด โดยใช้ระบบแผนที่ (Mapping) เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการและแก้ปัญหาทุเรียนอ่อนในพื้นที่ เพราะจะทำให้รู้ได้ทันทีว่าทุเรียนอ่อนที่จะออกในช่วงนี้อยู่พื้นที่ใด แหล่งรับซื้อหรือล้งที่รับซื้ออยู่ตรงไหน มีเส้นทางการจำหน่ายไปที่ใด เจ้าหน้าที่มีความรู้และพร้อมที่จะรายงานสถานการณ์อย่างทันการ ประกอบด้วย ความร่วมมือกับจังหวัดหรือท้องถิ่นในการตรวจสอบการขนย้ายทุเรียนอย่างเข้มงวด และตรวจสอบคุณภาพทุเรียนตามล้งในพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นทุเรียนอ่อนได้ทันก่อนที่จะไปถึงมือผู้บริโภค
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตสำนึกของพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูก ต้องมีความจริงใจและภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะทำลายความชื่อเสียงของประเทศจนยากที่จะกู้คืนกลับมา หมดภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะที่เป็นราชาผลไม้ของประเทศไทยได้
ด้วยราคาที่ดึงดูดใจโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล จึงมักจะมีพ่อค้ามารับซื้อแบบเหมาสวน และส่งไปจำหน่ายโดยไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพ แต่จะโทษผู้รับซื้อเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเองด้วย ที่เป็นผู้ตัดสินใจจำหน่ายสินค้าของตน ว่าจะขายให้ใคร หรือขายช่วงไหน และต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และรักในความยั่งยืนอาชีพของตน ดังเช่น ลุงเสส เกษตรกรชาวสวนเงิน (หลาย) ล้าน สุดยอดสมาร์ทฟาร์มเม่อของจังหวัดระยอง ที่มุ่งหยัดยืนในคุณธรรมของการจำหน่ายทุเรียนในสวนตนเอง จนได้การยอมรับจากผู้รับซื้อมาจ่อคิวรอ จับจองกันตั้งแต่ทุเรียนเพิ่งติดผล
นายเสส ใจดี หรือ ลุงเสส อยู่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 7 ตำบลทุ่งควายเกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เจ้าของสวนผลไม้วัย 69 ที่ทำสวนผลไม้มาตั้งแต่ปี 2507 ดูแลสวนของตนจนได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพทำสวน จังหวัดระยอง เมื่อปี 2550-51 ด้วยวุฒิการศึกษาการันตีเพียงชั้น ป.4 แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวปิดกั้นความรู้และทักษะ รวมถึงประสบการณ์ด้านการทำสวนที่ได้สั่งสมมานานกว่า 45 ปีที่ผ่านมา
ลุงเสส เล่าว่า แรกเริ่มเดิมที ครอบครัวมีอาชีพทำนา ลุงเสส เป็นเพียงคนงานรับจ้างทำงานในไร่มันสำปะหลังและไร่อ้อย หลังแต่งงานได้ริเริ่มทำสวนทุเรียนจากที่ดินจำนวน 2 ไร่ 2 งาน ที่ครอบครัวแบ่งให้ เก็บหอมรอมริบจนขยายพื้นที่ทำสวนปลูกทั้งมังคุด ลองกอง และทุเรียนรวมทั้งสิ้นกว่า 55 ไร่
สวนของลุงเสส ปลูกทุเรียนบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ที่เน้นการลดต้นทุนการผลิตแต่รักษาคุณภาพของผลิตให้ได้มากที่สุด มีการนำความรู้และทักษะที่ได้รับจากหน่วยงานราชการและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมาผสมผสานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การไล่แมลงในสวนด้วยพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติเป็นพิษต่อแมลง นำมาต้มในหม้อน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถรักษาอุณหภูมิให้คงที่ (80 องศาเซลเซียส) ทำให้ได้น้ำสมุนไพรที่มีคุณสมบัติที่ดี ไม่เสื่อมสภาพ ใช้วิธีการตัดหญ้าแทนการฉีดยาปราบศัตรูพืช ช่วยป้องกันการชะล้างหน้าดิน รักษาหน้าดินให้อุดมสมบูรณ์ การทำปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุในสวน การใช้ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ช่วยปรับสภาพดิน ทำให้ต้นทุเรียนที่กำลังจะถูกโค่นทิ้งกลับมามีสภาพสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตได้ดีอีกครั้ง ซึ่งการทำให้ทุเรียนติดผลดีด้วยการไม่ตัดแต่งดอก เพื่อให้มีละอองเกสรตัวผู้มาก และจะให้น้ำน้อยเพื่อให้ละอองเกสรตัวผู้แพร่กระจายได้ดี
ในทุเรียนต้นหนึ่งจะต้องมีการตัดแต่งผลอ่อนอย่างน้อย 4 ครั้ง หลังจากดอกบานติดผลอ่อนให้เร่งแต่งผลอ่อน โดยลุงเสสจะเลือกผลอ่อนที่มีรูปทรงดีไว้ เพราะจะทำให้ได้ผลทุเรียนที่สวยงาม มีคุณภาพ สามารถส่งออกผลผลิตได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญในการตัดทุเรียนเพื่อจำหน่ายนั้น จะตัดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ เท่านั้น จะไม่ตัดขายให้ใครก่อนเด็ดขาด จึงรับประกันได้เลยว่า ทุเรียนที่สวนลุงเสสไม่มีปัญหาทุเรียนอ่อนอย่างแน่นอน
เทคนิคและวิธีการปฏิบัติดังกล่าวมานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์ อุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละวัน ที่หล่อหลอมให้ลุงเสสมีแนวคิดคิดที่จะพึ่งพาตัวเองก่อนเสมอ ด้วยการวางแผนการบริหารจัดการการผลิตไม้ผลแต่ละชนิดในสวน โดยมีการจดบันทึกการปฏิบัติในแปลงทุกครั้ง ซึ่งในแต่ละปีจะมีการปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศด้วย รวมไปถึงมีการวางแผนด้านการตลาดโดยจะเริ่มวางแผนการตลาดเมื่อไม้ผลเริ่มออกดอก คาดคะเนผลผลิตและช่วงเวลาที่ผลไม้จะออกสู่ตลาด หลังจากที่ได้ข้อมูลคาดคะเนผลผลิตรวมของกลุ่มแล้ว จะทำการติดต่อกับผู้รับซื้อล่วงหน้าและซื้อขายผลผลิตในรูปของกลุ่ม และนำไปจำหน่ายตลาดขายปลีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผลผลิตต่อไร่หรือต่อหน่วยพื้นที่ที่ได้นั้น เกินค่าเฉลี่ยของชุมชน ในปีหนึ่งๆ จึงสร้างรายได้ให้หลายล้านบาท
ด้วยคติประจำใจที่ใช้เป็นหลักยึดในประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ ที่ว่า “ต้นทุนการผลิตต่ำ ต้นสมบูรณ์ เก็บเกี่ยวผลผลิตมีคุณภาพ รับประทานอร่อยทุกลูก” รวมทั้งการเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่การงาน ยึดมั่นในการทำความดี เสียสละเพื่อส่วนรวมและหาความรู้ใหม่ๆ ในอาชีพอยู่เสมอ ทำให้ ลุงเสส เป็นเกษตรกรผู้นำในด้านการผลิตไม้ผลตามระบบการจัดการคุณภาพจีเอพี (GAP) เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาในการผลิตไม้ผลของเกษตรกรในตำบลและเกษตรกรทั่วไป
สวนของลุงเสส จึงกลายเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญให้กับเกษตรกรและผู้สนใจมาศึกษาดูงานอย่างกว้างขวาง ทุกวันนี้ ลุงเสส ถูกเชิญไปเป็นวิทยากรของหน่วยงานราชการเพื่อให้ความรู้ด้านการปฏิบัติดูแลรักษาสวนผลไม้แก่กลุ่มเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป เป็นวิทยากรให้กับกลุ่มเครือข่ายทำสวนผลไม้ รวมทั้งวิทยากรสอนวิชาชีพท้องถิ่นให้กับนักเรียนโรงเรียนด้วย
“หากเราใช้ใจในการทำงาน เราจะมีใจรักในอาชีพเกษตรกรรม ในฐานะเป็นผู้ผลิตเราจะต้องคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก ให้ได้บริโภคผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง การทำให้ผลผลิตมีคุณภาพให้ได้มากที่สุด จึงเป็นหัวใจสำคัญของผู้ผลิตที่รักในความยั่งยืนในอาชีพอย่างเรา” ลุงเสส กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี