พงศ์พัฒน์-ลูกน้องเข้าคุก
วืดประกัน
ตั้งข้อหาหนักอ้างสถาบัน
เปิดบ่อน-รีดส่วยน้ำมันเถื่อน
ตร.ยันจับผู้ต้องหาครบ12ราย
เตรียมแถลงเบื้องหลัง25พ.ย.
ความคืบหน้าหลังจากศาลออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผบช.ก. ช่วยราชการ ศปก.ตร. กับพวกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพลเรือน รวม 10 ราย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผล ประโยชน์ มาตรา 149 และ มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายนนั้น
กองทัพสื่อเกาะติดที่บช.น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 1 กองร้อย ได้ควบคุมตัว ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ 8 ราย มายัง บช.น.เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำตัวไปฝากขังผลัดแรกที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เป็นเวลา 12 วัน ท่ามกลางสื่อมวลชนที่เดินทางมารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ได้กันผู้สื่อข่าวออกห่างจากจุดควบคุมตัว และห้ามถ่ายภาพ
จากนั้น ในเวลา 15.00 น. ได้มีรถตู้จำนวน 4 คัน วิ่งออกจากบริเวณ กองกำกับการอารักขา2 (บช.น.) โดยออกประตูหน้าวังปารุสกวัน ใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยา มุ่งหน้าถนนเทเวศร์ ถัดมาอีกประมาณ 10 นาที รถตู้อีก 3 คัน ได้วิ่งออกจากประตูหน้าวังปารุสกวัน ใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยา มุ่งหน้ารัชดา
ประคองปีก“พงศ์พัฒน์”เข้าศาล
ต่อมา เมื่อเวลา 15.40 น. ขบวนรถตู้ ได้นำตัวผู้ต้องหาได้เดินทางมาถึงศาลอาญารัชดา โดยรถตู้คันแรกได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น สีเทา กางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า และมีเจ้าหน้าที่ 2 นาย คอยหิ้วแขนทั้ง 2 ข้าง และในเวลา 16.10 น. เมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาเดินทางมายัง ศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อมาฝากขังผลัดแรก ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหา ได้กล่าวขณะเดินผ่านผู้สื่อข่าวในประโยคที่ว่า “พูดหมดแล้ว ใครอยากให้โดนประหารก็เอา”
คุมตัวชุดแรกขอฝากขัง
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน บช.น. ได้ควบคุมตัว พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผู้บังคับหมู่ บก.ปพ. ซึ่งเป็นคนขับรถของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ผู้บังคับหมู่ บก.ปพ. ผู้ต้องข้อหา คดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 157 และนาง สวงค์ มุ่งเที่ยง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47 และนายชอบ กับนาง ปิยพรรณ ชินนะประภา สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ซึ่งเพิ่งถูกควบคุมตัวเมื่อคืนวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อจะยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน เนื่องจากยังสอบปากคำพยานไม่แล้วเสร็จ รวมทั้งยังต้องรอผลตรวจประวัติ
ปล่อยตัว2ผัวเมียชั่วคราว
โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษร้ายแรง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี อย่างไรก็ดี เมื่อจะดำเนินการต่อศาล ปรากฏว่าในส่วนของนายชอบและนางปิยพรรณ พนักงานสอบสวนยังทำสำนวนคำร้องไม่เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวทั้งสองกลับไปควบคุมตามกฎหมาย ซึ่งสามารถควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48 ชม.ก่อน และจะนำตัวมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกใหม่ในวันที่ 25 พฤศจิกายน
ฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ4ราย
ขณะที่ศาลได้พิจารณาคำร้องฝากขัง พ.ต.อ.วุฒิชาติ, ด.ต.สุรศักดิ์, ด.ต.ฉัตรินทร์ และนางสวงค์ ผู้ต้องหาทั้งสี่แล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาเวลา 16.30 น. ญาติของนางสวงค์ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ มูลค่า 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราว ศาลอออกหมายขังส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ฝากขัง“พงศ์พัฒน์”พร้อมบิ๊กตำรวจ
ต่อมาเวลา 17.45 น. พนักงานสอบสวน บช.น. ได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์, พล.ต.ต. โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ, เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ, เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 157 และพล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157
เรียกรับเงินแลกเก้าอี้กว่า50ล้าน
โดยคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม53–11 พฤศจิกายน57 ขณะที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ดำรงตำแหน่ง ผบช.ก. มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้สมรู้ร่วมคิดกับ พล.ต.ต.บุญสืบ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิ่มรัตน์ อดีตผกก.1 ป. และ พ.ต.อ.วุฒิชาติ เรียกรับเงินจากข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อที่จะไปรับตำแหน่ง โดยจะมีการส่งเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาเป็นรายเดือน รวมแล้วเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท
เก็บส่วยน้ำมันเถื่อนภาคใต้
ส่วน พล.ต.ต.บุญสืบ พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม54–18 กรกฎาคม 57 ขณะที่ผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ ได้มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง มีการเรียกเก็บเงินค่าส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท ส่งเงินให้กับ พล.ต.ต.โกวิทย์ จำนวน 35 ล้านบาท และส่งเงินให้กับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเงินจำนวน 118 ล้านบาท
เปิดบ่อนย่านห้วยขวาง
ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ พนักงานสอบสวนระบุว่ามีพฤติการณ์เปิดบ่อนการพนัน (ถั่วครอบ) ย่านห้วยขวาง โดยร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แอบอ้างว่าจะนำเงินไปถวายให้สถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนยังจะต้องสอบปากคำพยานกว่า 50 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน–5 ธันวาคม57 โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสอนได้คัดค้านการประกัน เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพนักงานสอบสวน ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
ได้ตัว12ผู้ต้องหาครบแล้ว
เมื่อเวลา 17.45 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษก ตร. กล่าวว่า คดีนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสิ้น 12 คน โดยตำรวจทั้ง 7 คนนั้นมีการควบคุมตัวตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ส่วน นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช นั้นถูกควบคุมตัวได้แล้วที่ จ.เชียงราย กำลังนำตัวมาดำเนินคดี ขณะที่ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ภรรยา พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร ผู้ต้องหาในคดีบุกรุกป่า เพิ่งเข้ามอบตัวในวันนี้ และต่อมาออกหมายจับเพิ่มและจับกุมนายชอบและนางติยาพรรณ ชิณประภา สองสามีภรรยาได้ ขณะนี้ถือว่าได้ตัวผู้ต้องหาที่ออกหมายจับครบแล้ว และนำตัวฝากขังแล้ว เหลือเพียง นายเริงศักดิ์ ที่กำลังเดินทาง
นัดแถลงโชว์ภาพของกลาง25พ.ย.
โฆษก ตร.กล่าวว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้ลงนามในคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก โดยให้ได้ผลการสอบสวนใน 30 วัน และจะแถลงข่าวรายละเอียดในคดีนี้อีกครั้ง ในเวลา 10.30 น. ที่ สตช.โดยจะนำภาพของกลางที่ยึดได้แสดงต่อสื่อมวลชน
สรุปรายชื่อผู้ต้องหาทั้ง12คน
สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีดังกล่าวประกอบไปด้วย 1.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการศปก.ตร. 2.พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. 3.พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. 4.พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร 5.พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคม. 6.ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา พนักงานขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 7.ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง 8.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล 9.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง 10.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช 11.นายชอบ ชิณประภา และ 12.นางติยะพรรณ ชิณประภา
เล็งให้ปปง.สอบเส้นทางการเงิน
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่พบทรัพย์สินมูลค่านับพันล้านภายในบ้านของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่มีความผิดในข้อหา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วยว่า เบื้องต้นทราบข้อมูลตามที่เป็นข่าว ส่วนในเรื่องที่เจอทรัพย์สินในบ้านผู้ต้องหานั้น สตช.สามารถจัดการเองได้ ส่วนที่จะให้สำนักงาน ปปง.เข้าไปตรวจสอบที่มาที่ไป และเส้นทางการเงินหรือสินทรัพย์ทั้งหมดนั้น ยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากต้องการข้อมูลที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ รวมทั้งทาง สตช.ยังไม่ได้ประสานมา และในส่วนของดีเอสไอจะรับคดีที่พบทรัพย์สินที่บ้านผู้ต้องหาไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเข้าข้อกฎหมายและคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษดีเอสจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี