กกต.คงอำนาจแจกเหลือง-แดง ก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้ง
วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557, 17.07 น.
Tag :
25 พ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานจัดทำข้อเสนอประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. เป็นประธาน ประชุมพิจารณาประเด็นปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ แล้วเสร็จ และเตรียมที่จะเสนอเข้าที่ประชุมร่วมระหว่างกกต. กับคณะที่ปรึกษากฎหมายที่ประกอบไปด้วยอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายมหาชน ในวันพรุ่งนี้ ( 26 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ก่อนที่จะเสนอไปยังพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 28 พ.ย. ตามที่พล.อ.เลิศรัตน์ได้ขอให้กกต.ส่งข้อเสนอภายในวันดังกล่าว
ทั้งนี้ข้อสรุปที่กกต. ได้จากการศึกษาเห็นว่าควรคงอำนาจใบเหลืองใบแดงไว้ที่กกต. เพื่อไว้จัดการกับการทุจริตเลือกตั้ง โดยกกต. เห็นว่าเดิมที่กฎหมายกำหนดให้กกต. ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.ภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งเห็นว่า กกต.ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดได้ ส่วนใหญ่ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน ดังนั้น จึงเสนอให้มีการแก้ไขโดยหลังลงคะแนนเลือกตั้งแล้วให้กกต. มีเวลา 60 วันก่อนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อพิจารณาสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือหากไม่แล้วเสร็จให้สามารถขยายได้ 1 ครั้ง คือ 30 วัน รวมระยะเวลา 90 วัน แต่ถ้าไม่สามารถสอบสวนได้แล้วเสร็จให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน อย่างไรก็ตาม จะสอดรับกับประกาศ คสช. ฉบับที่ 58 ที่ให้ กกต. ประกาศผลเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นภายใน 60 วันนับแต่เลือกตั้ง
รายงานแจ้งอีกว่า นอกจากนี้จะเสนอให้ประธานกกต. โดยความเห็นชอบของกกต.มีอำนาจในการออกประกาศเลื่อนวันเลือกตั้งได้ และให้แยกระหว่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา และการกำหนดวันเลือกตั้ง ออกจากกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เช่น การยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 และกำหนดวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ที่ผ่านมา ขณะที่สถาบันการเมือง กำหนดให้มีส.ส.มาจากการเลือกตั้ง และจากระบบบัญชีรายชื่อในสัดส่วนเท่าๆกัน โดย ส.ส.เขตนั้น ให้ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง หรือใช้เขตใหญ่เรียงเบอร์ ส่วนส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อนั้นกำหนดให้มีที่มาหลากหลายและมีความเป็นตัวแทนของภูมิภาคจริง ส่วนวุฒิสภา หรือส.ว. ให้มาจากการสรรหาทั้งหมด แต่ต้องมีการปรับรูปแบบองค์ประกอบและวิธีการสรรหาใหม่ ขณะที่พรรคการเมืองก็ให้มีการจัดตั้งได้ยากโดยจะต้องมีการจัดหาสมาชิกให้ได้ใน 4ภาคจำนวน 5 พันคนก่อนจึงจะถือว่ามีสภาพความเป็นพรรคการเมือง และมีการแก้ไขในเรื่องการยุบพรรคเนื่องจากกรรมการบริหารพรรคกระทำทุจริตซื้อเสียง โดยให้เหลือเป็นเพียงความผิดเฉพาะตัวการกับผู้สนับสนุนเท่านั้น ส่วนในเรื่องของนโยบายประชานิยมเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมาย โดยมีคณะกรรมการเฉพาะขึ้นชุดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น จากป.ป.ช. สภาพัฒน์ กระทรวงคลัง สำนักงบประมาณ ขึ้นเพื่อตรวจสอบความเป็นได้ของนโยบายฯขณะที่ใช้หาเสียง และติดตามการปฏิบัติตามนโยบายเมื่อนโยบายดังกล่าวรัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาว่าสามารถทำได้จริงเพียงใด และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศหรือไม่