โชว์หลักฐาน”ขุมทรัพย์”
มัด”พงศ์พัฒน์”
เซฟลับฝังดิน-ซุก2พันล.
ผบ.ตร.ลั่นใหญ่แต่ไหนก็จับ
เตรียมตามล้างอีก40บิ๊กกากี
ปปง.แฉซ้ำโยงเสี่ยโจ้-โจรใต้
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. พ.ต.อ.อัครเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผบก.ป. ร่วมกันแถลงข่าวกรณีจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. พร้อมพวกในความผิดทุจริตรับส่วยสินบน และมีการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์โดยมิชอบ
เผยยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก ทำให้หลายอย่างไม่อาจเปิดเผยไปสู่สาธารณะได้ และขณะนี้สำนวนคดีในการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งที่เป็นตำรวจระดับสูง และพลเรือนนั้น ได้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว รวมถึงบางส่วนยังได้ส่งต่อไปยังอัยการ จึงขอให้เข้าใจการทำงานด้วย ส่วนการแถลงข่าวครั้งนี้จะมีการแสดง ภาพหลักฐานต่างๆ รวมถึงทรัพย์สินที่ได้ยึดทรัพย์มาจากที่พักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พร้อมกับพวก ซึ่งภาพทรัพย์สินที่นำมาแสดงนั้น เปิดเผยได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะมีการเชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่นๆ เพื่อจะได้ดำเนินคดีต่อไป
ตะลึง!สร้างตู้เซฟฝังดิน
จากนั้น ได้มีการเปิดภาพวีดีทัศน์ ขณะตำรวจเข้าตรวจค้นรวม 15 จุด คือที่บ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 11 จุด ส่วนใหญ่อยู่ใน จ.นนทบุรี มีภาพตู้เซฟนิรภัยหลายตู้ถูกฝังอยู่ภายในกำแพงที่ก่อปูนปิดทึบไว้อย่างแน่นหนา โดยตำรวจใช้รถแบ็คโฮทำลายกำแพงเพื่อนำตู้เซฟออกมา และยังมีห้องนิรภัยพร้อมกรงเหล็กอย่างแน่นหนา ไว้เก็บตู้เซฟซึ่งบรรจุทรัพย์สินอีกหลายห้อง โดยทรัพย์สินที่นำมาแสดงส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับ รถยนต์หรู ภาพวาดราคาแพง แสตมป์ทองคำ รวมถึงรูปปั้นประติมากรรมสมัยก่อน พระพุทธรูป โดยของเก่าส่วนใหญ่จะเป็นของหายาก ซึ่งจะมีการเชิญกรมศิลปากรเข้ามาช่วยตรวจสอบต่อไป
ซ่อนทรัพย์สินมูลค่ากว่า2พันล้าน
ส่วนการตรวจค้นอีก 4 จุด คือบ้านพักของ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. ถือเป็นขุนพลคู่ใจของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีตผกก.1 บก.ป. ผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำความผิดและฆ่าตัวตายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนนักวางแผน ที่จะกำหนดแผนการในการก่อเหตุมาโดยตลอด โดยพบรถหรู และเครื่องประดับจำนวนมาก โดยมีการประเมินว่า ทรัพย์สินที่ยึดได้ทั้งหมดมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท
“สมยศ”ยันไม่ได้กลั่นแกล้ง
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวเสริมว่า จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินที่ยึดมาจาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์พร้อมพวกนั้น เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการทุจริต ทำผิดมาแล้วหลายปี เงินที่ได้มาก็มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งเปิดบ่อน วิ่งเต้นโยกย้ายตำแหน่ง น้ำมันเถื่อน บ่อนการพนันก็เกี่ยวข้องไปทั่วประเทศ ยืนว่าการการจับกุมครั้งนี้ ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือยัดเยียดความผิดให้กับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และเชื่อว่ายังมีทรัพย์สินอีกจำนวนมากที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งจะเร่งสืบสวนต่อไป ส่วนที่ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีเงินส่วยเท่าไหร่ คงตอบไม่ได้เพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน
ประกาศลั่น“ใหญ่แค่ไหนก็จับ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาที่ทำเป็นขบวนการใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดผู้บังคับบัญชาในอดีตไม่ระแคะระคาย พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า “ผมไม่ทราบนะครับ ผู้บังคับบัญชาในอดีตท่านคิดอย่างไร แต่ในสมัยผม ใหญ่แค่ไหนก็จับ”
ให้ประกันสองผัวเมียบุกรุกป่า
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ตำรวจที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ อีกรายคือ พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล และภรรยาคือนางสุดาทิพย์ ม่วงนวลนั้น ตำรวจได้ให้ประกันตัวไปแล้ว เพราะมีความผิดสถานเบาคือบุกรุกป่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่บุกรุกป่าคือที่ใด พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า อยู่ที่จ.ราชบุรี และมีการทำธุรกิจร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ที่ อ.สวนผึ้ง อย่างไรก็ตามขณะนี้ มีการนำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์สอบสวนเพิ่มเติม ส่วนคนอื่นฝากขังไปแล้ว
ยันอดีตผกก.1บก.ป.ฆ่าตัวตายเอง
ด้าน พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) แถลงถึงการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีตผกก.1 บก.ป. ผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำความผิด ว่า ตำรวจสน.พญาไทรับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า จึงได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและมีการสอบถามพยานที่เห็นเหตุการณ์แล้ว รวมถึงได้ผลชันสูตรพลิก ศพ พ.ต.อ.อัครวุฒิ ซึ่งยืนยันได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย และไม่เกี่ยวข้องกับการถูกกระทำให้เสียชีวิตตามความผิดอาญา ขณะนี้ สำนวนการสอบสวนและผลชันสูตรพลิกศพทั้งหมดส่งต่อไปที่อัยการแล้ว และเปิดเผยให้ทราบไม่ได้ว่าจุดที่เสียชีวิตอยู่ที่ไหน เพราะจะเป็นการก้าวล่วงอัยการ
นายกฯลั่นถ้าผิดจริงไม่มีใครช่วยได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่า เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย หากเกี่ยวพันถึงใครก็ต้องดำเนินการโดยไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสูงหรือไม่
“ไม่มีอำนาจใดมาปกป้องได้ ถ้ากระทำความผิด ตำรวจใหญ่ขนาดไหน ถ้าทำความผิดมีหลักฐานก็ต้องถูกดำเนินคดี อย่าไปคิดว่าถ้ามีใครปกป้องเขา แล้วจะดำเนินคดีได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ไง แสดงว่าโอเคที่พูดมาทั้งหมด หรือที่เข้าใจที่คิดมาทั้งหมดมันไม่ใช่อย่างนั้น มันถึงทำได้ แต่ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บางอย่างต้องใช้เวลานาน เวลามาก เวลาน้อย อย่าไปยึดโยงซึ่งกันและกันได้ไหม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ฝากขัง2ผัวเมียร่วมขบวนการ
วันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายชอบ ชิณประภา และ นางปิยพรรณ ชิณประภา สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นยอมมอบผลประโยชน์ โดยร่วมกันกระทำความผิดกับ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายชอบและนางปิยพรรณ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน และได้ฝากขังร่วมกับผู้ต้องหาอีก 8 คน แต่เนื่องจากสำนวนการสอบสวนและคำร้องขอฝากยังไม่แล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนจึงขอรับตัวทั้งคู่กลับไป โดยศาลได้นัดให้พนักงานสอบสวนดำเนินการให้เสร็จภายในช่วงเช้าวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งท้ายคำร้องได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษร้ายแรง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
เผยเครียดนอนคุกคืนแรก
นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องขังกลุ่มตำรวจคดีรับส่วยน้ำมันเถื่อนและหมิ่นเบื้องสูงซึ่งถูกส่งตัวเข้าคุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ขณะนี้มีทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วย พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก., พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน., พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 ปคบ., ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป., ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. และพลเรือนอีก 1 คน คือ นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ถูกส่งตัวคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยในช่วงคืนแรกผู้ต้องขังมีอาการเครียดเล็กน้อย ต้องให้เวลาปรับตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของผู้ต้องขังใหม่ ส่วน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ยังไม่ได้รับการประสานจากตำรวจว่าจะส่งตัวเข้าเรือนจำเมื่อไร
กันพื้นที่เฉพาะเพื่อความปลอดภัย
ด้าน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปพบกับผู้ต้องขังทั้ง 5 คนภายในแดนแรกรับ เพื่อแจ้งสิทธิและแนะนำเรื่องการปรับตัวอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจะให้ญาติฝากเงินไว้ใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 300 บาท โดยขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ในแดนแรกรับ เรือนจำกันพื้นที่เฉพาะให้อยู่รวมกัน ห้ามไม่ให้ผู้ต้องขังคดีอาญาอื่นเข้ามาปะปนเพื่อความปลอดภัย สำหรับ ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ที่มีอาการป่วยถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในสถานพยาบาลภายในเรือนจำ หากอาการดีขึ้นก็จะถูกส่งมาควบคุมตัวไว้รวมกัน
ญาติทยอยเข้าเยี่ยมต่อเนื่อง
ส่วนบรรยากาศ ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. หลังจากที่ทางเรือนจำเปิดให้ญาติผู้ต้องขังลงทะเบียนเยี่ยม ได้มีครอบครัวและญาติสนิทของกลุ่มตำรวจที่ถูกจับกุมดำเนินคดีพร้อมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ทยอยเข้าเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
จ่อหมายเรียกล็อตใหญ่กว่า40นาย
มีรายงานเกี่ยวกับแนวทางการขยายผลสืบสวนของชุดคลี่คลายคดี เครือข่ายการกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่า ขณะนี้ชุดทำงานฯ เตรียมออกหมายเรียก “นายตำรวจ” อีกล็อตใหญ่ไม่ต่ำกว่า 40 นาย ที่มีข้อมูลหลักฐานว่าอาจโยงใยกับขบวนการเครือข่ายดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็น ส่วยน้ำมันเถื่อน,ส่วยบ่อนการพนัน รวมไปถึงการการตรวจสอบข้อมูลรายชื่อนายตำรวจที่เคยมีการวิ่งเต้นโยกย้ายจ่ายเงิน เพื่อเข้ามาอยู่ในตำแหน่งหลักๆ ก็จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน เพราะทั้งหมดถือว่าร่วมสนับสนุนในการกระทำผิด โดยขณะนี้ทางชุดสอบสวนกำลังเร่งตรวจสอบความเชื่อมโยงใครมีหลักฐานเกี่ยวพันมากที่สุด คาดว่าน่าจะถูกออกหมายเรียกเร็วๆ นี้
ปปง.เด้งรับเตรียมยึดทรัพย์ทั้งแก๊งค์
วันเดียวกัน พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) กล่าวถึงกรณีการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พร้อมพวก และเข้าตรวจค้นพบทรัพย์สินมหาศาลซุกซ่อนอยู่ว่า ทาง ปปง.ได้หารือกับกับ ผบ.ตร.แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด เพราะผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง ทั้งนี้ ได้แนะนำให้แยกบัญชีประเภทหมวดหมู่ทรัพย์สิน เช่น โบราณวัตถุ พระพทธรูปล้ำค่า ภาพเขียน และเงินสด ซึ่งจากลักษณะทรัพย์สินที่พบในบ้านของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ถือว่าเป็นไปตามลักษณะกฏหมายฐานความผิดฟอกเงิน ที่สามารถยึดทรัพย์ได้ อาทิ การเก็บทรัพย์สินและวัตถุโบราณ ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สิน
ประสานผบ.ตร.ชงข้อมูลมาให้
ทั้งนี้ ทาง ปปง.ได้แจ้งต่อ ผบ ตร.ว่าให้ทำเป็นรายงานข้อมูลมาถึง ปปง.เพื่อให้เป็นไปตามกำหนดระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ในทางปฏิบัติระหว่างที่รอเอกสารส่งมายัง ปปง.จะเข้าร่วมตรวจสอบทรัพย์สินทันที ก่อนหนังสือมาถึง ปปง. เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ได้ในอนาคตทันที นอกจากนี้ ป.ป.ง.จะดำเนินการขยายผลยึดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
“สำหรับทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดแยกเป็น 2 ประเภท 1.ทรัพย์ของกลาง ซึ่งพนักงานสอบสอบเป็นผู้ยึดได้ขณะกระทำความผิด หรือใช้ในการกระทำความผิด 2.เป็นทรัพย์สินประเภทวัตถุพยาน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด แต่ไม่ใช่มีไว้ใช้ทำความผิดโดยตรง เช่น พระพุทธรูป ภาพเขียน เป็นต้น เป็นทรัพย์สินที่แปรสภาพ หรือที่เรียกว่าฟอกเงิน รวมทั้งเงินสกุลต่างประเทศหลายสกุล อาทิ ดอลล่าร์ และสกุลบาทไทย จำนวนมากนั้นทรัพย์สินตามข้อ 2 นี้ ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ ปปง.ดำเนินการยึดทรัพย์ได้” เลขาธิการ ปปง. กล่าว
แฉเชื่อมโยง“เสี่ยโจ้-โจรใต้”
เลขาธิการปปง. ระบุว่า สำหรับทรัพย์สินที่ปรากฏตามข่าวคาดว่าจะเป็นเงินที่ได้จากธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อนและบ่อน และอาจจะเชื่อมโยงกับคดี”เสี่ยโจ้ ปัตตานี” โดยทาง ปปง.ได้ติดตามตรวจสอบหลายเดือนแล้ว แต่ส่วนใหญ่ในการทำธุรกิจดังกล่าวจะใช้เงินสดหมุนเวียนมากกว่าจึงยากติดตามยึดทรัพย์ ที่สำคัญ คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ ขบวนการโจรก่อการร้ายภาคใต้ เพราะผู้ค้าน้ำมันเถื่อนต้องขนผ่านเส้นทางที่ผู้ก่อการร้ายภาคใต้ ดูแลพื้นที่อยู่ อาจเป็นไปได้ว่า กลุ่มผู้ต้องหาจะจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย จึงเข้าข่ายสนับสนุนผู้ก่อการร้าย
เชื่อ“พงศ์พัฒน์”เป้งสุดในขบวนการ
เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า คาดว่าทาง สตช.จะรวบรวมข้อหากระทำผิด ผู้ต้องหาทั้งหมด ให้ทาง ป.ป.ง.เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ไม่เกิน 2 สัปดาห์นับจากนี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้กระทำความผิดระดับสูงสุดน่ามีแค่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เท่านั้น ไม่น่าจะผู้อยู่เบื้องหลังที่มีตำแหน่งสูงไปกว่านี้ นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการนำกรณีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พร้อมพวก เข้าสู่การพิจารณาในคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อยึดและอายัดทรัพย์ได้ภายในเดือนหน้า
ป.ป.ช.จ่อสอบทรัพย์สิน-ผิดม.157
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้จะส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานงานกับตำรวจ เพื่อขอดูทรัพย์สินของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ถูกยึดได้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าตรงกับทรัพย์สินที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เคยยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ผบช.ก.หรือไม่ จากนั้นจึงรวบรวมพยานหลักฐานเสนอ คณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่ง หากเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน หรือร่ำรวยผิดปกติ ป.ป.ช.ก็สามารถดำเนินการได้ นอกจากนี้ ป.ป.ช.จะตรวจสอบขยายผลไปถึงกรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี