สกัดสภา‘สายโลหิต’
ผัว-เมีย-ลูก
ห้ามลงสมัครสส.-สว.
ทำผิดปิดฉากชั่วชีวิต
ลุยเลือกตรง‘นายกฯ’
ตั้งศาลกุดหัวขรก.โกง
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)นำโดย นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นายดิเรก ถึงฝั่ง นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศและนายบุญเลิศ คชายุทธเดช ร่วมแถลงถึงการแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปการเมืองต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ )
โดยนายสมบัติ แถลงว่า คณะกรรมาธิการฯได้สรุปรูปแบบการเลือกตั้ง โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งต้องมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องเลือกตั้งรอบสอง โดยนำพรรคได้คะแนนอับดับหนึ่งและสอง มาเลือกใหม่อีกครั้งให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะลดปัญหาซื้อสิทธิขายเสียงลงได้ โดยพรรคการเมืองเป็นผู้เสนอรายชื่อนายกฯและครม.เพื่อให้นายกฯได้รับการสนับสนุนในการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติจาก สส.ในสภาผู้แทนราษฎร แต่หากเสียงสส.ไม่พอสามารถชักชวน สส.พรรคอื่นมาร่วมรัฐบาลได้ด้วยข้อเสนอรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ รูปแบบดังกล่าวนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางการเมืองรูปแบบใหม่ที่อาจจะได้ใช้เป็นประเทศแรกของโลก
ยันไม่ใช่เลือกเป็นประธานาธิบดี
ส่วนข้อกังวลว่าการเลือกนายกฯโดยตรง จะทำให้มีการเหิมเกริมไปเทียบกับประมุขประเทศนั้น เป็นการพูดบิดพลิ้วของคนที่เสียประโยชน์ เชื่อว่าคนไทยมีความจงรักภักดี ก็จะเลือกบุคคลที่มีความจงรักภักดีมาทำหน้าที่อยู่แล้ว แต่หากคนที่มาเป็นนายกฯไม่มีความจงรักภักดี ไม่ว่าการเลือกตั้งรูปแบบใด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้
มีเฉพาะสส.เขต350คน-สว.154คน
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า สำหรับฝ่ายนิติบัญญัติให้มี 2สภาเหมือนเดิม โดย สส.ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 350คน ที่มาจากแบบแบ่งเขตทั้งหมด เขตละไม่เกิน 3คน ประชาชน 1คน เลือก สส.ได้ 1คน จากนั้นให้ผู้มีคะแนนมากที่สุดตามลำดับ1-3 ได้เป็น สส.ไม่มีระบบบัญชีรายชื่อเพื่อป้องกันการอุปถัมภ์จากหัวหน้าพรรค ส่วน สว.ให้มี 154คน แบ่งเป็นเลือกตั้ง 77จังหวัด จังหวัดละ 1คน และสรรหาจากกลุ่มอาชีพอีก 77คน เข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย แต่งตั้งองค์กรอิสระ ตลอดจนการถอดถอนที่ต้องออกแบบให้ถอดถอนได้สำเร็จต่อไป
สังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้
ด้าน นายบุญเลิศ กล่าวว่า พรรคการเมืองต้องมีความเข้มแข็งทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ชาติ ส่วนการยุบพรรคจะไม่สามารถทำได้โดยง่าย เว้นแต่จะกระทำผิดที่ร้ายแรงกระทบต่อสถาบันฯล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือทำให้ผลประโยชน์แห่งชาติได้รับความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนพรรคการเมืองอย่างเหมาะสมและยุติธรรม ส่วนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น จะสังกัดพรรคการเมือง หรือไม่ก็ได้
‘ตัดสินผิด-รออาญา’ห้ามชั่วชีวิต
ขณะที่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า ผู้ลงสมัครเลือกตั้ง จากเดิมต้องรอให้คดีถึงที่สิ้นสุดก่อนถึงจะขาดคุณสมบัติการเป็นสส.แต่กมธ.ยกร่างฯเสนอใหม่ให้แค่คำตัดสินว่าผิดและให้รอลงอาญา รวมทั้งความผิดคดีภาษีก็ถือว่าขัดคุณสมบัติและผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป เว้นแต่คดีหมิ่นประมาทและคดีลหุโทษ โดยแนวทางดังกล่าวนี้ จะมีผลบังคับใช้เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว แต่จะไม่มีผลย้อนหลังไปเพิกถอนสิทธิของผู้ที่เคยถูกเพิกถอนสิทธิไปแล้ว อาทิ นักการเมืองบ้านเลขที่109และ111เป็นต้น
‘ผัว-เมีย-ลูก’ไม่ให้ลงชิงสส.-สว.
นอกจากนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสส.และสว.ต้องไม่เป็นบุพการี คู่สมรส ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย บุตร หรือบุตรบุญธรรม แต่ไม่ห้ามพี่น้องร่วมสายโลหิต ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น เสนอให้ลดวาระดำรงตำแหน่งจาก 7ปี เหลือ 5 ปี มีอำนาจตรวจค้นระหว่างให้หาเสียงเลือกตั้ง โดยไม่ต้องแจ้งตำรวจและให้มีอำนาจเฉพาะแจกใบเหลืองเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ ส่วนใบแดงเป็นอำนาจของศาล เพราะเกี่ยวกับการตัดสิทธิ์ผู้สมัคร
ปลัดกระทรวงขัดตาทัพก่อนมีรบ.
รวมถึงยังออกแบบให้ช่วงเวลาระหว่างการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง ให้มีรัฐบาลรักษาการณ์ โดยให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี แล้วก็ให้ปลัดกระทรวงเลือกกันเองมา 1คน เพื่อทำหน้าที่นายกฯ คอยทำหน้าที่โปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อเสนอ ส่วนกมธ.ยกร่างฯทั้ง 36คน จะนำไปพิจารณาหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ
รวมงานปราบโกง-ผุดศาลขรก.ทุจริต
นายดิเรก กล่าวว่า ได้เสนอปรับโครงสร้างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ให้ควบรวมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ส่วนคณะกรรมการให้มีวาระดำรงตำแหน่งลดจาก 9ปี เหลือ 5ปีและให้ดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียวและปปช.ควรมีอำนาจฟ้องคดีทุจริตต่อศาลได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องผ่านอัยการ ทั้งควรจัดตั้งศาลว่าด้วยคดีการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พร้อมให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ ส่วนองค์กรอัยการจะปรับเปลี่ยนหาวิธีลดการแทรกแซงทางการเมืองและจะดึงเรื่องการสอบสวนของตำรวจมาให้อัยการดำเนินการเอง
ผุดบอร์ดคัดกรองแต่งตั้งขรก.ซี10
นอกจากนี้ จะให้มีคณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ เพื่อให้ความเห็นต่อการแต่งตั้งข้าราชการระดับ10และระดับสูงของรัฐวิสาหกิจ ให้เกิดประสิทธิภาพ นอกจากนั้นจะประเมินผลโครงการสำคัญของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจว่า มีการทุจริตหรือไม่ เพื่อให้โครงการมีความโปร่งใส และหากมีการทุจริตก็จะนำไปสู่การดำเนินคดีต่อไป
‘บวรศักดิ์’ย้ำ’แกงส้ม’ยังอีกนาน
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมคณะกรรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งมีวาระพิจารณารายงานข้อเสนอของคณะอนุกมธ.พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่10 เกี่ยวกับการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ที่มี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน
โดย นายบวรศักดิ์ กล่าวก่อนการประชุมว่า มีความตื่นเต้นกับข้อเสนอของ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช.และของคณะกรรมาธิการหลายคณะ ตนยืนยันว่า ทั้งหมดยังไม่มีข้อยุติ ถ้าเทียบกับทำแกงส้มที่มีพ่อครัว 265 คน ทุกคนก็เสนอสูตรของตัวเองที่เห็นว่าอร่อยที่สุด แต่ขณะนี้ยังไม่ทันได้ก่อไฟหรือตั้งน้ำให้เดือด หรือกว่าจะเอาเครื่องแกงลงและกว่าจะปรุงเสร็จนั้น ยังอีกยาวนาน ใครอยากเสนออะไรก็เสนอมาและเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เห็นว่า การยกร่างฯไม่ใช่เรื่องของคนแค่ 36 คน แต่เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ
ชงตั้งกรรมการปรองดองแห่งชาติ
หลังการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างฯแถลงว่า คณะอนุฯได้เสนอหลักการสำคัญที่ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ การตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ เป็นองค์กรกึ่งนิติบุคคลที่มีความเป็นอิสระ และอยู่ภายใต้รัฐสภา คล้ายกับสถาบันพระปกเกล้า เพื่อมาดำเนินการพิจารณาศึกษา และแสวงหาแนวทางเพื่อลดและยุติความขัดแย้งทางการเมืองทุกระดับ โดยให้มีตัวแทนจากทุกฝ่ายที่ได้รับการยอมรับ ให้มีวาระ 5-10ปี และยกเลิกคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติเพื่อไม่ให้เกิดความซ้อซ้อน
ยังไม่กล้าแตะ’นิรโทษกรรม’
นายคำนูณ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นนิรโทษกรรมนั้น กมธ.ยกร่างฯไม่ได้พิจารณาในรายละเอียด แต่ได้อภิปรายให้ข้อสังเกตคือ หากกมธ.ยกร่างฯได้เขียนรัฐธรรมนูญให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย ร่างรัฐธรรมนูญปราศจากอคติและไม่ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อให้ฝ่ายใด หรือกีดกันฝ่ายใด จะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความปรองดองได้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปหรือมีมติใดๆต่อข้อเสนอของคณะอนุฯ
‘การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมนั้นถือเป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องใช้เวลาอีก 5- 10ปี ส่วนประเด็นสร้างความปรองดองถือเป็นเรื่องเฉพาะหน้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่จำเป็น เปรียบได้เหมือนคนป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ต้องกินยาทามิฟลูเพื่อรักษา แต่ระหว่างป่วยนั้น มีอาการปวดหัวและตัวร้อนด้วย จึงต้องกินยาไทลีนอลบรรเทาไปก่อน’นายคำนูณ กล่าวและว่า
ส่งความเห็นให้บวรศักดิ์19ธค.
สำหรับขั้นตอนการทำงานของกมธ.ยกร่างฯนั้น วันที่ 12ธันวาคม นายโภคิน พลกุล ตัวแทนพรรคเพื่อไทย จะเข้าแสดงข้อคิดเห็นในลักษณะส่วนตัวกับ กมธ.ยกร่างฯส่วนวันที่ 15-17ธันวาคมนี้ สปช.จะประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นการยกร่างรัฐธรรมนูญจากกมธ.ปฎิรูปทั้ง18คณะและวันที่ 19ธันวาคม นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.จะทำพิธีส่งมอบข้อคิดเห็นการยกร่างรัฐธรรมนูญของสปช.ต่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อไป
“ไพบูลย์”แนะ3กลุ่มคุยกันก่อน
ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน สปช.ด้านการเมือง ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญคณะที่10 กล่าวว่า ตนเสนอในที่ประชุมกรรมาธิการฯว่าต้องให้ประชาชน 3 กลุ่มใหญ่ๆที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง มีเวทีเข้ามาพูดคุยกันเพื่อรวบรวมประเด็นที่จะเป็นทางออกร่วมกัน หากผลออกมาเห็นว่า นิรโทษกรรมเป็นทางหนึ่ง ก็ให้ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ซึ่งผู้ที่จะเป็นเจ้าภาพจัดเวทีหารือนี้ได้ดีที่สุดคือ สปช. แต่ถ้าอยู่ดีๆให้ ครม.สนช.หรือคสช.ออกมากฎหมายมานิรโทษเลยเกรงว่ามันจะพังกันหมด
กปปส.ปัดล็อกเลือกนายกฯ-ครม.
ขณะที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.) กล่าวย้ำว่า
การเลือกนายกฯ และครม.โดยตรง ไม่ได้เป็นข้อเสนอของกปปส. แต่เป็นของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองฯต้องการให้เกิดการปรับระบบเลือกตั้งใหม่ เพื่อป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง หรือการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน
ปชป.ค้าน-เชื่อมีคนนั่งยิ้มรอแล้ว
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวในกรณีเดียกวัน ว่า กมธ.ปฏิรูปการเมือง กำลังเสนอแนวทางที่ผิดหลักการ โดยไม่คำนึงถึงวิถีความจริงของไทย ปัญหาที่ผ่านมาเกิดจากฝ่ายบริหารมีความเข็มแข็งมาก ไม่ยอมรับการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ถ้าเลือกตั้งนายกฯโดยตรงก็มีคนนั่งยิ้มอยู่แล้ว เพราะพวกเขาจะอ้าง 15ล้านเสียงเช่นที่ผ่านมาและเริ่มคิดกันแล้วว่า 1.หาคนในตระกูลมาเป็นนายกฯอีกสมัยเพื่อเพิ่มสถิติ 2.ระดมทุนจากกลุ่มทุนใช้ในการเลือกตั้ง 3.ให้ผู้สมัครสส.แต่ละจังหวัดเป็นหัวคะแนนระดมหาเสียงให้นายกฯ 4.เพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลที่เข็มแข็ง 5.สามารถอ้างว่า เขามาจากการเลือกตั้งตรงทั้งประเทศ
“บิ๊กตู่”ปัดวิจารณ์เลือกตรงนายกฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอเลือกตั้งนายกฯโดยตรงว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ตนไม่อยู่ในคณะกมธ.ยกร่างฯและเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการสรุปมา ตนก็ฟัง มีหลายวิธีการและเรื่องดังกล่าวยังไม่จบ เมื่อถามว่า หากให้มีการเลือกตั้งโดยตรง นายกฯจะลงสมัครหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ลงๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่อยากเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว” เรื่องนี้เมื่อยังไม่มีข้อสรุป สุดท้ายตนยังไม่ตอบและทุกอย่างยังมีอีกหลายขั้นตอน ต้องดูว่าสุดท้ายรัฐธรรมนูญออกมาเช่นไรและสุดท้ายก็ต้องผ่าน ครม.ให้ความเห็นชอบและผ่านคสช.ที่มีหลายคน
ไม่โกรธ’บิ๊กจิ๋ว’ปูด’ปฎิวัติซ้อน’
ส่วนกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเตือนรัฐบาลอาจเจอปฏิวัติซ้ำ นั้น พล.องประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าไปตอบท่านเลย ท่านอายุมากแล้ว ท่านก็เหงาๆ แต่ตนเคารพท่านอยู่แล้ว ไม่อยากเอามาเป็นกังวล ท่านก็ฟังคนนู้นคนนี้มา อะไรต่ออะไร ผู้ใหญ่ก็เป็นห่วงเด็ก โอเค ไม่เป็นไร อย่าไปโกรธท่าน ตนไม่เคยโกรธหรอก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี