เลือกตรงนายกฯส่อแห้ว
สปช.ถล่มยับ
‘สังศิต-ปู่ชัย’โดดขวาง
หวั่นทุ่มซื้อหัวละหมื่น
ชี้แก้ปัญหายังไม่ตรงจุด
สมบัติอ้างหวังลดอำนาจ
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญติดตามและให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องสรุปความเห็นหรือข้อเสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ประจำสภา18 คณะซึ่งคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้วเป็นวันสุดท้าย ในส่วนของกมธ.3คณะคือกมธ.ปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น กมธ.ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน กมธ.ปฏิรูปการเมือง ที่จะสรุปข้อเสนอ มีผู้อภิปรายรวม 72 คน
ช่วงบ่าย เมื่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ปฏิรูปการเมืองได้นำเสนอรายงานข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ โดยนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ปฏิรูปการเมืองได้นำเสนอรายงานของกมธ.ปฎิรูปการเมืองว่า ระบบรัฐสภาของไทยปัจจุบันมีปัญหาตรงที่รัฐบาลเสียงข้างมาก มีอำนาจเด็ดขาดเหนือทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ อำนาจการตรวจสอบอ่อนแอ จนเกิดทุจริตรุนแรง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น งบประมาณประเทศ ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ก่อให้เกิดสภาพรวยกระจุก จนกระจาย ทางกมธ.เสนอว่าควรนำแนวทางการประยุกต์หลักการแบ่งแย่งอำนาจมาใช้เพื่อแก้ไขโดยให้ประชาชนเป็นผู้เลือกฝ่ายบริหารโดยตรงโดย ไม่ได้เป็นการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ รูปแบบนี้จะทำให้นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถ มีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติได้ผ่านสภา และไม่ให้นายกฯมีอำนาจยุบสภา เพราะมักจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ส่วนสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจเสนอกฎหมายได้ทุกประเภท แม้แต่กฎหมายการเงินข้อดีในระบบนี้คือประชาชนสามารถตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องเลือกคนดีมาให้ประชาชนพิจารณา เพื่อให้พรรคชนะเลือกตั้ง
ที่สำคัญรัฐบาลจะมีเสถียรภาพ เพราะจะไม่มีการยุบสภาและฝ่ายรัฐบาลไม่จำเป็นต้องอุปถัมภ์ ส.ส.จนเกิดปัญหาการทุจริตในงบประมาณ สำหรับเรื่องการถ่วงดุลอำนาจนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบและส่งฟ้องคดีต่อศาลการเมืองได้โดยตรงด้วยระบบตรวจสอบดังกล่าวทำให้เชื่อว่าจะไม่มีการอ้างว่าตัวเองมาจากประชาชน30 ล้านเสียงได้อีก
นายสมบัติ ยังกล่าวอีกว่าในข้อห่วงใยเรื่องการเลือกฝ่ายบริหารโดยตรงจากประชาชนจะเป็นระบบประธานาธิบดีนั้น กมธ.ได้พิจารณาเหมือนกัน แต่เห็นว่าระบบประธานาธิบดี จะเป็นระบบประธานาธิบดีได้ก็ต่อเมื่อหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นประมุขของประเทศด้วย ดังนั้น เมื่อเราเลือกบุคคลให้มาทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวและพระมหากษัตริย์ ยังทรงเป็นประมุขของประเทศอยู่ ก็ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดีและขอยืนยันว่าถ้าเป็นระบบประธานาธิบดีจริง กมธ.เสียงข้างมากก็ไม่เอาและคว่ำไปตั้งแต่ต้นแล้วเพราะพวกเราทุกคนมีความจงรักภักดี ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียว แต่เป็นข้อเสนอของคณะกมธ.ปฎิรูปการเมืองเสียงข้างมาก
จากนั้น สมาชิก สปช.ได้ลุกอภิปรายข้อเสนอของกมธ.การปฎิรูปการเมืองโดยส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยข้อเสนอของ กมธ.เสียงข้างมากที่ให้มีการเลือกตั้งฝ่ายบริหารโดยตรงทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
โดย นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิก สปช.อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการเลือกนายกฯโดยตรงว่า ไม่แก้ปัญหาการทุจริต อาจทำให้เกิดการแทรกแซงนายกรัฐมนตรีโดยตรงได้ โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง ควรลดทอนอำนาจ กกต.และให้มีศาลคดีเลือกตั้ง
นายชัย ชิดชอบ สมาชิก สปช.อภิปรายไม่เห็นด้วยว่าระบบดังกล่าวไม่สามารถขจัดระบบนายทุนให้ออกจากระบบพรรคการเมืองได้ เพราะผู้บริหารพรรค จะสามารถหาเงินสนับสนุนจากนายทุนได้มากขึ้นเพื่อนำเงินไปช่วย ส.ส.ลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อก่อนเลือก ส.ส.คนเดียว อาจจ่ายซื้อเสียงหัวละ100-500บาท แต่ถ้าเลือกตั้งนายกฯและคณะรัฐมนตรี จะใช้เงินต่อหัว1,000-5,000 บาท หรืออาจจะถึงหนึ่งหมื่นบาทด้วยซ้ำจึงวิตกกังวลเป็นอย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลไกสกัดการซื้อสิทธิขายเสียง อยากให้นายกรัฐมนตรีมาจากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเท่านั้นและต้องเป็นส.ส.ด้วย ถ้าไม่เป็นส.ส.ก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนที่มาของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นผู้เห็นชอบ
ขณะที่ กมธ.ปฎิรูปการเมืองเสียงข้างน้อย อาทิ นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ กมธ.ปฏิรูปการเมือง ได้ลุกอภิปรายคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการเสนอเลือกตั้งนายกฯและครม.ดยตรง เนื่องจากเห็นว่า หากพรรคการเมืองใดเสนอบัญชีรายชื่อครม.ให้เลือกแล้วแต่พบว่ามีคนเก่งที่เหมาะสมเป็นครม.ซึ่งอยู่ในบัญชี ครม.ของพรรคการเมืองอื่นอาจทำให้ตัดโอกาสการเข้ามารับใช้ประเทศของบุคคลในบัญชี ครม.พรรคการเมืองอื่นๆจึงขอเสนอให้นายกฯมีที่มาจากระบบรัฐสภาแบบเดิม จะเหมาะสมที่สุดแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบการเลือกตั้งให้ได้ผลดียิ่งขึ้นเพื่อให้ได้คนที่ดีที่สุดเข้ามาทำหน้าที่
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับ ครม.นั้น ต้องมีการกลั่นกรองก่อนนำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยตนมีขอเสนอให้นายกฯ ทำบัญชีรายชื่อ ครม. เสนอให้รัฐสภาพิจารณาและให้ความเห็น โดยบุคลที่จะอยู่ในบัญชี ครม. ต้องเป็นคนเก่ง มีความซื่อสัตย์ มีความถนัดเฉพาะด้านที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนั้น จากนั้นให้นายกฯ นำบัญชีรายชื่อ ครม.เสนอต่อรัฐสภาเพื่อรับฟังความคิดเห็นและตรวจสอบประวัติจากบุคคลภายนอกรัฐสภาได้ด้วย หากการตรวจสอบพบว่ามีคนที่สังคมไม่สนับสนุน นายกฯไม่ต้องตั้งบุคคนนั้น และให้บุคคลอื่นมาเป็นรมต.แทน
นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ปฏิรูปการเมือง อภิปรายว่า การเลือกนายกฯ ต้องทำภายใต้การพิจารณาและเห็นชอบของรัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ส่วนการส่งบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นขอให้เพิ่มบทบาทของภาคประชาชนในการพิจารณาส่วนดังกล่าวแทนการพิจารณาโดยความเห็นชอบจากกรรมการบริหารพรรคการเมืองเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ นายธีรยุทธ หล่อเลิศรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ได้นำเสนอข้อเสนอของ กมธ.เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ(จธช.).เพื่อรับผิดชอบพัฒนาระบบและกลไกเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลบริหารราชการ แผ่นดินเพื่อลดการแทรกแซงของภาครัฐในกลไกตลาด การบริหารราชการแผ่นดินต้องจัดแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว.ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ยึดตามนโยบายพรรคการเมืองที่ใช้หาเสียง ซึ่งสมาชิกสปช.ส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุนให้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นอย่างแท้จริง.มีการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และการให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็ก สตรี คนชรา มีส่วนร่วมจัดทำงบประมาณแผ่นดินมากขึ้น
ปรากฎว่าได้มีสมาชิกอภิปรายได้เสนอแนะโดนเห็นว่าควรจะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนตัวเสนอให้ปฏิรูปองค์กรที่มีทำงานคล้ายกันคือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ควรรวมเป็นองค์กรเดียวกัน เนื่องจากมีหน้าที่คล้ายคลึงกัน คือ ในการตรวจสอบการทุจริตในภาครัฐ ข้าราชการ และการเมือง ควรนำมารวมไว้ด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน.
นายดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิก สมาชิก สปช.นนทบุรีอภิปราย มีกลุ่มบุคคลพยายามจัดการบริหารราชการแผ่นดินเสียใหม่และยังมีร่างพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดให้จัดการปกครองตนเอง ถ้าพ.ร.บ.ดังกล่าว ออกมาจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง เนื้อหาให้ยุบภูมิภาค ยกเลิกผู้ว่าฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนตัวยืนยันว่ายังจำเป็นต้องคงการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเอาไว้.เพราะจะเป็นผลดีกับประเทศชาติ จึงต้องกระจายอำนาจอย่างเต็มที่ให้ท้องถิ่นให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้เพื่อให้ท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นตามที่ประชาชนต้องการ
ขณะที่ นายพงศ์โพยม วาศภูติ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้นำเสนอรายงานว่าาง กมธ.เสนอให้รัฐต้องกระจายอำนาจ และส่งเสริมให้ประชาชนและท้องถิ่นมีความสามารถ ความเป็นอิสระการปกครองตนเองภายใต้เอกภาพแห่งรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาสนองความต้องการของพื้นที่โดยการมีส่วนร่วม มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมท้องถิ่นให้มีเอกภาพ เป็นอิสระทางการคลัง จัดให้มีระบบคู่ขนานจัดสรรงบประมาณตามพื้นที่ ควบคู่การจัดสรรงบประมาณตามภารกิจ รายได้รัฐที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นให้ขึ้นบัญชี เป็นรายได้ท้องถิ่นนั้น โดยรายได้ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นให้จัดสรรแก่ท้องถิ่นไม่น้อยกว่าร้อยละ60 นอกจากนี้ ยังเสนอให้ประชาชนในท้องถิ่น สามารถยื่นถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นได้ ขณะที่การกำกับควบคุมการบริหารท้องถิ่นควรจะทำเท่าที่จำเป็นเพื่อความคล่องตัว และความเป็นอิสระของท้องถิ่น
จากนั้นสมาชิกอภิปรายส่วนใหญ่สนับสนุนให้ยังมีองค์กรปกครองท้องถิ่น(อปท.)และอยากให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นได้อย่างแท้จริงพร้อมขอให้ตั้งสภาท้องถิ่นแห่งชาติเพื่อเป็นการรวบรวมหน่วยงานที่กำกับดูแลองค์กรปกครองท้องถิ่นมารวมอยู่ด้วยกัน ให้เป็นหน่วยงานเดียวเพื่อความเป็นเอกภาพ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มหน่วยงานขึ้นรวมทั้งมีความหวังว่ารัฐ
หลังอภิปรายกว่า2ชั่วโมง นายพงศ์โพยม ได้สรุปว่าข้อเสนอของ กมธ.เรื่องการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้เน้นเรื่องชุมชนมาก อยากให้การกระจายอำนาจไปถึงชุมชุนรวมทั้งเน้นความเป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนและข้อเสนอการจัดให้มีองค์กรดูแล อปท.โดยเฉพาะเน้นการแบ่งอำนาจชัดเจนปล่อยให้องค์กรท้องถิ่นร่วมกับภาคประชาชน แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจึงเสนอให้มี“สภาพลเมือง”ทำงานคู่ขนานสภาเลือกตั้ง ลดความเป็นการเมืองท้องถิ่น เป็นการบ้านท้องถิ่น ให้มีการตรวจสอบโดยภาคประชาชน อยากให้รัฐบาล คสช.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเห็นความจำเป็นในการสร้างฐานพลเมืองขึ้นมา ไม่ใช่การล้มอำนาจรัฐ เพราะยังมีความจำเป็นในการกำกับดูแลยังมีความสำคัญ หากอำนาจลงสู่ข้างล่าง การต่อสู้ในการเมืองจะเบาบางลงด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี