25 ธ.ค. 57 ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวถึง มติของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาในส่วนของที่มาของวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า 1.สมาชิกวุฒิสภาจะให้มีจำนวนไม่เกิน 200 คน 2.วุฒิสภามาจากที่มาดังกล่าวเพื่อให้วุฒิสภาเป็นสภาพหุนิยม และพหุอำนาจนิยมเปรียบเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลาย จากทุกกลุ่มอำนาจที่มีอยู่จริงในสังคมไทย ไม่ใช่สะท้อนอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร 3.ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง และมีที่มา 5 ทาง ได้แก่ 3.1 มาจากการอดีตผู้นำในอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อาทิ นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ขัดกับข้อกำหนด 3.2 อดีตข้าราชการระดับสูง อาทิ อดีตปลัดกระทรวง อดีตผู้นำเหล่าทัพ 3.3 ประธานองค์กรวิชาชีพหรือผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ เช่น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, แพทยสภา เป็นต้น 3.4 กลุ่มภาคประชาชน เช่น สหกรณ์การเกษตร สหภาพแรงงาน องค์กรภาคประชาชน โดยทั้ง 4 ช่องทางนั้นจะมาจากกระบวนการสรรหาตามสัดส่วนที่จะกำหนดอีกครั้ง และ 3.5 ให้มีการเลือกตั้งทางอ้อม ผ่านการเลือกสรรจากสภาวิชาชีพที่หลากหลาย จากนั้นให้นำบุคคลที่ได้รับการสรรหานั้นไปให้ประชาชนลงคะแนนรับรอง ตามจำนวน โดยวิธีการเลือกตั้งนั้นจะมีการกำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สำหรับการกำหนดให้อำนาจของวุฒิสภาที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาคือ 1.สามารถเสนอร่างกฎหมายได้ โดยเมื่อร่างกฎหมายผ่านชั้นวุฒิสภาแล้ว ให้ส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา โดยประเด็นดังกล่าว กมธ.ได้พิจารณาถึงประเด็นการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ที่จะมาจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญในภาค 4 หมวด 1 ว่าด้วย การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม เพื่อสานต่องานปฏิรูป
2.ให้ ส.ว.ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติบุคคล ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ก่อนจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงาน พร้อมกับเปิดเผยการตรวจสอบให้สาธารณะได้รับทราบ โดยประเด็นการตรวจสอบนั้นมีข้อเสนอให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และ สมัชชาจริยธรรม ได้ตรวจสอบจริยธรรมของ ส.ส. รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หากพบว่ามีความผิดจริยธรรมสามารถเข้าสู่กระบวนการถอดถอนได้
3.วุฒิสภาสามารถลงมติร่วมกับ ส.ส. ในกรณีการถอดถอนนายกฯ รัฐมนตรี, ส.ส., ส.ว. และข้าราชการระดับสูง โดยให้ใช้เกณฑ์คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้ง 2 สภา ขณะที่อำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.เดิม อาทิ การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ การตั้งกระทู้ถาม ยังคงไว้เช่นเดิม
นายคำนูณ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ให้ ส.ว.ตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้น เบื้องต้นจะกำหนดให้มีเวลาตรวจสอบประมาณ 2 สัปดาห์ โดยประเด็นนี้จะทำให้เกิดความตระหนักก่อนที่นายกฯ จะเสนอชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. ทาง กมธ. ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่มีการหารือกันว่า ส.ว.ไม่ควรอยู่ยาว และมีวาระเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยประเด็นดังกล่าวจะมีการหารือกันอีกครั้ง
ขณะที่สำหรับที่มาของนายฯ ได้ข้อสรุปแล้วว่า นายกฯ จะมีที่มาเหมือนเดิมกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 172 คือมีที่มาจากการเสนอชื่อโดยสภาผู้แทนราษฎร และให้ประธานสภา เป็นผู้นำความกราบขึ้นบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ทั้งนี้จะไม่บังคับให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น เพื่อเปิดช่องให้มีนายกฯ มาจากบุคคลภายนอกเมื่อเกิดเหตุวิกฤติทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้กำหนดให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น โดยธรรมชาติ และตรรกะทั่วไป เมื่อบัญญัติไว้ว่าให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงมติเลือกนายกฯ และให้ประธานสภาฯ เป็นผู้นำความกราบขึ้นบังคมทูลฯ โดยทั่วไปนายกฯ น่าจะมาจาก ส.ส. เหมือนเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี