พรรคการเมืองถล่มยับ
โมเดลเลือกตั้ง
ยี้ยกร่างที่มา‘สส.-สว.’
พท.ไม่เอานายกฯคนนอก
หวั่นมีปัญหาหนักกว่าเดิม
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานจากอาคารรัฐสภา ว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญและคณะอนุกรรมาธิการประสานเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ร่วมจัดสัมมนาเรื่อง“หลักการใหม่เกี่ยวกับระบอบการเมือง นักการเมืองและสถาบันการเมือง” โดยมีสมาชิกพรรคการเมืองใหญ่ อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคมาตุภูมิและพรรคเล็ก รวมทั้งหมด 43พรรค เข้าร่วมสัมมนา
กมธ.ยึดกฎเหล็ก13ข้อร่างรธน.
โดยนายสุจิต บุญบงการ กมธ.ยกร่างฯ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า กมธ.ยกร่างฯกำลังอยู่ระหว่างยกร่างรายมาตรา ซึ่งมีหลักการ 13ประการ ได้แก่ 1.พลเมืองเข้มแข็ง นักการเมืองมีคุณธรรม 2.มีความเป็นกลางในการกำหนดวันเลือกตั้งและรักษาการระหว่างเลือกตั้ง โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจกำหนดวันเลือกตั้งและให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาการเลือกตั้ง โดยให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่เลือกกันเองให้มีผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี 3.โครงสร้างทางการเมืองที่สมดุล 4.การกรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง 2สภา ที่อาจมีปัญหาเรื่องความสุจริต 5.ให้ตรวจสอบการหาเสียง 6.ให้มีระบบเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ที่สะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน
7.ทำให้การซื้อเสียงทำยากขึ้น 8.การทำให้ส.ส.เป็นผู้แทนราษฎรที่แท้จริง ไม่ใช่ลูกจ้างพรรคการเมือง หรือหัวหน้าพรรค 9.การปรับพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยและควบคุมการรับบริจาค และการใช้จ่ายเงินของพรรคและผู้บริหารพรรค 10.การปรับให้มีการถ่วงดุลในการบริหารในรัฐสภาระหว่างฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน 11.วุฒิสภา สภาพหุนิยม ซึ่งสร้างความสมดุลให้ระบบการเมือง 12.นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่มาจากสภาผู้แทนราษฎรและมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพภายใต้ระบบการตรวจสอบที่ดีและ13.การกำหนดให้ผู้ซึ่งมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า เป็นผู้ครอบงำ นำชัก หรือสั่งการให้พรรคการเมือง หรือข้าราชการกระทำการใดๆต้องมีความรับผิดชอบทางอาญา ทางวินัย การเงิน การคลังและงบประมาณ และความรับผิดชอบอื่นๆเช่นเดียวกับผู้ที่ตนสั่ง ครอบงำ หรือชักนำ
หวังการเมืองโปร่งใส-เลิกถอนทุน
“13ข้อดังกล่าวจะทำให้การเมืองไทยโปร่งใสมากขึ้น ทำให้เราได้นักการเมืองน้ำดี ที่ได้รับเลือกมาจากการตัดสินใจของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เข้ามาโดยระบอบอุปถัมภ์เพื่อหวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์ถอนทุนที่ใช้ในการหาเสียงและต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถยอมรับได้”นายสุจิต กล่าว
พรรคเล็กมีสิทธิ์เข้าไปนั่งในสภา
ต่อมา พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างฯบรรยายว่า ต้องปรับระบบเลือกตั้งสส.เพื่อให้สะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประประชาชน ทำให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย เบื้องต้น กมธ.ยกร่างฯกำหนดให้ สส.จะจำนวน 450คน ไม่เกิน 470คน มาจากแบบแบ่งเขต 250คน เฉลี่ย สส.1คน ต่อประชาชน 260,000คน ส่วนแบบบัญชีรายชื่อมี 200คน แต่ไม่เกิน 220คน ซึ่งกมธ.ยกร่างฯทำการแบ่งภาคเบื้องต้นไว้เป็น 6ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ภาคอีสานตอนล่าง ภาคกลางด้านตะวันตก ภาคกลางด้านตะวันออกและภาคใต้ โดยเฉลี่ยแต่ละภาคจะส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อได้ภาคละ 32-34คน การนำระบบสัดส่วนแบบผสมมาใช้ จะไม่ปัดเศษทิ้ง เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองได้มีที่ยืนในสภา โดยเฉพาะพรรคเล็กที่ไม่สามารถลงแข่งขันแบบแบ่งเขตได้ หมายความว่า หากพรรคเล็กได้เสียงบัญชีรายชื่อ 6-7หมื่นเสียง จะมีที่นั่งในสภา 1-2คน เพื่อมีพื้นที่ต่อรองผลักดันนโยบายของตัวเอง
สว.มาจากการแต่งตั้ง-สรรหา
“หลักการใหม่ กมธ.ยกร่างฯหารือเบื้องต้นเห็นว่า จะตัดสิทธิผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เคยทุจริตเลือกตั้ง หรือต้องคดีทุจริตคอรัปชั่น ไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้งครั้งถัดไป สำหรับ สว.เบื้องต้นจะให้มี 200คน ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพราะฐานเสียง สว.เป็นฐานเสียงเดียวกับ สส.โดยแนวทางที่วางไว้คือ จะมี สว.100คน มาจากการเลือกกันเองและอีก 100คนที่เหลือมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อให้วุฒิสภาคือผู้ทรงคุณวุฒิที่แท้จริง” พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว
ปชป.ติงให้อำนาจสภาถอดถอน
จากนั้น เวลา 10.30น.ที่ประชุมเปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมืองได้แสดงความคิดเห็นคนละ 5 นาที เริ่มจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังมีบางประเด็นที่เป็นโจทย์ใหญ่ซึ่งอยากจะให้กมธ.ยกร่างฯกลับไปทบทวน คือ ทำอย่างไรจะทำให้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น หรือทำอย่างไรให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อจะได้รวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการขับเคลื่อนเป้าหมายไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่วนการกำหนดให้ทั้ง 2สภา คือวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจถอดถอนนักการเมืองนั้น เท่ากับเป็นการให้แต้มฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน เพราะสภาผู้แทนฯก็เป็นเสียงข้างมากของรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ดังนั้นรัฐบาลไม่ค่อยมีโอกาสถูกถอดถอน ดีไม่ดีฝ่ายค้านที่เป็นฝ่ายตรวจสอบอาจจะถูกถอดถอนเสียเอง
พท.ขวางที่มานายกฯคนนอก
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ตนได้เสนอกมธ.ยกร่างฯ 3ข้อ คือ1.ให้ทบทวนเรื่องที่สส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองและนายกฯในภาวะวิกฤติไม่ต้องมาจากสส.ก็ได้ โดยตนมองว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลองและทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ 2.ตนเสนอว่า สว.ควรมาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้ามาจากการสรรหา ใครคือผู้สรรหา ต้องทำให้เป็นธรรม ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจและสว.ที่มาจาการสรรหาไม่ควรมีอำนาจถอดถอน ควรมีหน้าที่เพียงกลั่นกรองกฎหมายและ3.การห้ามหรือบัญญัติไม่ให้นายกฯ หรือครม.แต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวง หากบัญญัติเช่นนี้ประเทศไทยคงเป็นประเทศเดียวในระบอบประชาธิปไตยที่นายกฯหรือครม.ไม่สามารถแต่งตั้งปลัดกระทรวงได้ ซึ่งผิดหลักการอย่างยิ่ง
‘ชทพ.’หวั่นปัญหาหนักกว่าเดิม
ขณะที่ นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา(ชพ.) กล่าวว่า ข้อเสนอส่วนใหญ่ตนเห็นด้วย แต่มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เช่น การให้อำนาจ กกต.กำหนดวันเลือกตั้ง ตนเห็นด้วย แต่การให้อำนาจปลัดกระทรวงทำหน้าที่เลือกกันเองเป็นนายกฯและครม.รักษาการนั้น ไม่เห็นด้วย
ส่วน นายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) กล่าวว่า การแก้ไขนี้เหมือนกำลังจะแก้ปัญหาในอดีต แต่ความจริงแล้วเป็นการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แม้จะบอกว่า มีการเลือกตั้งหรือสรรหาโดยอ้อม แต่กำหนดวิธีการที่สลับซับซ้อนเกินไป
พรรคเล็กจี้ทหารเลิกยึดอำนาจ
นอกจากนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นจากตัวแทนพรรคเล็กที่เห็นตรงกัน ว่า การจัดสัมนาอาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของ กมธ.ยกร่างฯที่เชิญตัวแทนพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเล็กมาเป็นตัวประกอบ ทั้งยังไม่เห็นด้วยที่จะให้ สว.มาจากการสรรหา เพราะผู้มาทำหน้าที่ตรวจสอบผู้แทนประชาชนจะต้องมาจากเสียงของประชาชนด้วย ที่สำคัญควรเขียนในรัฐธรรมนูญว่า ห้ามทหารปฏิวัติรัฐประหารอีกเด็ดขาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี