ปปช.นัดถกใหญ่อังคารนี้
ยืนยันมติถอด250อดีตสส.
ใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวเมื่อวันที่ 1 มีนาคม
ถึงกรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช.ในฐานะองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร้องให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 270 เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมลงชื่อเสนอและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่) พ.ศ. ... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 111 มาตรา112 มาตรา 115 มาตรา 116 วรรคสอง มาตรา 117 มาตรา 118 มาตรา 120 และมาตรา 241 วรรคหนึ่ง และยกเลิกมาตรา113 และมาตรา 114 ) เกี่ยวกับที่มาของวุฒิสมาชิก ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมาไปแล้ว โดยระบุมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 250 ราย มีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 291(1) วรรคหนึ่ง
โดยระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ในวันอังคารที่ 3 มี.ค.นี้ จะมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันมติขององค์คณะไต่สวนซึ่งเป็นไปตามหลักการพิจารณาคดีของป.ป.ช. ซึ่งเชื่อว่าที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.คงพิจารณายืนตามมติขององค์คณะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และเมื่อคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติแล้วก็จะได้ส่งสำนวนดังกล่าว พร้อมพยานหลักฐานเอกสารตามพื้นฐานความผิดในประเด็นการสลับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกลุ่มส.ส.ได้ได้ลงคะแนนในวาระต่างๆตามฐานความผิดที่ป.ป.ช.ได้ไต่สวนมา ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ดำเนินการพิจารณาถอดถอนตามกฎหมายต่อไป
นายปานเทพ กล่าวว่า สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 5 ราย ที่องค์คณะไต่สวนพิจารณากรณีกล่าวหาร้องเรียนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น กรณีเสนอและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่) พ.ศ. ... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา 115มาตรา 116 วรรคสอง มาตรา 117 มาตรา118 มาตรา 120 และมาตรา 241 วรรคหนึ่ง และยกเลิกมาตรา 113 และมาตรา114 ) เกี่ยวกับที่มาของวุฒิสมาชิก และมีมติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 5ราย ได้กระทำการอันมีพฤติการณ์ว่ามีมูลความผิดทางอาญาจึงให้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้มาแก้ข้อกล่าวหาต่อไป นั้น ในที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ในวันอังคารที่ 3 มี.ค.นี้ จะพิจารณาเรื่องนี้เช่นกันเพื่อยืนยันมติที่ประชุมขององค์คณะไต่สวน และหากยืนยันแล้วก็ต้องส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ เพื่อให้มาแก้ข้อกล่าวหาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอดีตส.ส. 5รายที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา คือ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนทน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย นายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย นายคมเดช ไชยศิวามงคล อดีตส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย
ประธานปปช.ยังกล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กรณีสั่งการใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน - 19พฤษภาคม 2553 ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการจัดทำหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาอยู่ หากได้รับการพิจารณาจากนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทางป.ป.ช.คงสามารถส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ในสัปดาห์นี้ เพื่อให้รับทราบและมาแก้ข้อกล่าวหาต่อไป
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วก็ต้องมารับทราบข้อกล่าวหาต่อป.ป.ช.ภายใน 15วัน โดยจะมาด้วยตัวเอง หรือมอบอำนาจ ก็ได้ และหลังจากนั้นต้องมาแก้ข้อกล่าวหาภายใน15วัน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาอาจจะขอให้สืบพยาน หรือให้ป.ป.ช.ขอเอกสารประกอบเพิ่มได้ อย่างไรก็ตาม การมารับทราบข้อกล่าวหานั้น หากผู้ถูกกล่าวหาเดินทางมาด้วยตัวเองได้ก็จะดีกว่า จะได้สะดวกหากต้องการให้ถ้อยคำ หรือแก้ข้อกล่าวหาเอง ส่วนเรื่องการขอสืบพยานนั้นก็แล้วแต่ว่าจะอ้างใครบ้าง กี่คน เพราะทางคณะกรรมการป.ป.ช.ก็ต้องมาพิจารณาว่าพยานที่ขอมานั้นเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไรหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ลักษณะคดี ทุกคดีที่ป.ป.ช.ได้พิจารณามาโดยดูว่าพยานที่อ้างมานั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นคดีที่กำลังไต่สวนหรือไม่ หากเกี่ยวข้องในการไต่สวนก็อนุญาต
ด้าน นายวรชัย เหมะอดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี พระสุเทพ ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประกาศรับผิดชอบคดีสั่งสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53 เพียงผู้เดียวว่า สถานการณ์ขณะนั้นพระสุเทพ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยตำแหน่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว การยืดอกรับเช่นนี้ เพราะพระสุเทพทราบดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เขาได้เปรียบ เนื่องจากศาลอาญายกฟ้องคดีแล้ว จึงมั่นใจว่าตัวเองต้องหลุดจากคดีแน่นอน
นายวรชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาไทย เป็นพยานในคดีดังกล่าวนั้น การตอบรับของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ยินดีเป็นพยานให้นั้น เท่ากับยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด และการที่นายอภิสิทธิ์ ยก 3 คนนี้ มาเป็นพยาน เท่ากับยกตัวรัฏฐาธิปัตย์มาข่มขู่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้า คสช. ฉะนั้นอำนาจอื่นจะเหนือว่า อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างไร
ขณะที่ นายวีระกานต์ มุสิกะพงศ์ แกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์ถึงการที่พระสุเทพ ออกมาประกาศว่า จะรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว คำประกาศนี้เชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการประกาศเพื่อสร้างคะแนนนิยมว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ดูแลรับผิดชอบประชาชนได้หรือไม่ เรื่องนี้ถ้ามีคนอื่นเกี่ยวข้องด้วย แต่ตัวเองกลับประกาศจะรับผิดไว้คนเดียว แบบนี้เป็นการ จะมีความผิดในฐานะที่ให้การเท็จ และต้องในฐานะที่จงใจปกปิดผู้กระทำความผิดคนอื่นๆนะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี