'สมจิตต์'ขุดคดีเก่าย้อน'ชูวิทย์' ลั่นไม่มีสิทธิสอนจรรยาบรรณ
วันอังคาร ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558, 15.27 น.
Tag :
31 มี.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าว สถานีโทรทัศน์สี ช่อง7 ได้โพสต์ข้อความลงยังเฟซบุ๊ค "
สมจิตต์ นวเครือสุนทร" กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์รูปภาพ พร้อมระบุข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว "
ชูวิทย์ I'm No.5" ถึงตนว่า “คุณสมจิตร ตีอกชกตัวเองกับคำพูดของนายกฯที่บอกว่า ทำได้ดีกว่าพรรคที่คุณชอบ อย่าว่าแต่นายกฯเลย ประชาชนทั่วไปเขาก็รู้ ว่าคุณสมจิตเชียร์พรรคประชาธิปัตยน์อยู่ ความเป็นกลางในวิชาชีพสื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคุณสมจิตรเป็นนักข่าวไม่ใช่นักการเมือง" นั้น
น.ส.สมจิตต์ ระบุว่า จุดยืนของดิฉันชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าไม่เป็นกลางระหว่างความถูก-ผิด ชั่ว-ดี ถ้าคนเป็นสื่อยังแยกแยะไม่ได้จะเป็นดวงตาให้ประชาชนได้อย่างไร ในฐานะพลเมืองไทยที่มีสิทธิเลือกตั้ง ดิฉันเลือกพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่เคยปิดบังเพราะเป็นการใช้สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ สาเหตุที่เลือกประชาธิปัตย์เพราะเป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ นอกนั้นล้วนแต่เป็นบริษัทการเมืองทั้งสิ้น ที่สำคัญหลักคิดที่จะเอาชนะระบอบทักษิณอย่างยั่งยืน สำหรับดิฉันคือ ต้องทำให้พรรคของทักษิณแพ้การเลือกตั้งเท่านั้น จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด
แนวทางที่ดิฉันคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งยังมีทัศนคติเหมารวมว่านักการเมืองเลวเป็นสัตว์นรกเหมือนกันหมด โดยไม่แยกแยะ ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่จุดยืนของดิฉันยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงคือ การเอาชนะทักษิณอย่างยั่งยืนต้องทำให้ทักษิณแพ้การเลือกตั้ง และแน่นอนว่าถ้ามีการเลือกตั้งครั้งหน้าในฐานะพลเมืองไทยดิฉันก็จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นพรรคที่ตรวจสอบได้ทั้งก่อนมีอำนาจและหลังมีอำนาจ รวมทั้งทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ ไม่ใช่บริษัทการเมืองที่จ้องเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ดิฉันไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถือว่าเป็นเจ้าของพรรคผ่านการเสียภาษีให้ทุกปี ปีละ 100 บาท ส.ส.ทุกคนในพรรคนี้จึงเป็นผู้รับใช้ประชาชนอย่างดิฉัน
น.ส.สมจิตต์ ระบุต่อว่า ดิฉันไม่ได้โกรธหรือใส่ใจในการโหนกระแสของคนอย่างคุณชูวิทย์ แต่ที่จำเป็นต้องอธิบายเพราะเป็นการบิดเบือนข้อมูลจากความเป็นจริง และรู้สึกแปลกใจว่าคนที่ถูกศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญากรณีรื้อบาเบียร์ย่านสุขุมวิทปี 2546 และเคยถูกศาลอาญาตัดสิน ฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีนำข้าวผัดและโอเลี้ยงไปศาล ในวันที่ศาลพิพากษาจำคุกอดีต กกต. โดยอ้างว่าเป็นการไปเยี่ยม จนมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
3 สิงหาคม 2549 ศาลได้พิเคราะห์พฤติกรรมดังกล่าวเห็นว่า การนำโอเลี้ยงและข้าวผัดไปที่ศาลถือเป็นการประชดประชันอดีต กกต. ซึ่งเป็นการกระทำผิดกาลเทศะ ทำให้มีการกระทบกระทั่งกับผู้สนับสนุน กกต.จนเกิดความวุ่นวาย ถือว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) ประกอบด้วยมาตรา 33 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 หลังเกิดเหตุ คุณชูวิทย์สารภาพผิดต่อศาลและขอโอกาสปรับปรุงตัวเอง ศาลจึงเมตตากำหนดโทษให้โอกาสกลับตัวภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
"ดูเหมือนว่าความเมตตาของศาลยังไม่ทำให้คุณชูวิทย์ตระหนักถึงกาลเทศะอยู่ดี แม้เวลาจะผ่านมาถึง 9 ปีแล้วก็ตาม อย่างว่าละนะคะ “สันดอนขุดได้แต่สันดานขุดไม่ได้” คนที่ประกอบธุรกิจด้านมืดมาเกือบตลอดชีวิตอย่างคุณไม่มีสิทธิสอนจรรยาบรรณให้ใครทั้งนั้น เพราะคำว่า “คุณธรรม” ดิฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าคุณรู้จักหรือเปล่า" น.ส.สมจิตต์ระบุ