เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน( ปปง.) นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมด้วย ตัวแทนครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาได้นำเอกสารและพยานหลักฐาน พร้อมหนังสือร้องเรียนจำนวนกว่า 5,000 ฉบับ ยื่นเรื่องร้องต่อ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการปปง.เพื่อขอให้ตรวจสอบต้นสังกัดของ โครงการกู้เงินโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)เนื่องจากแสดงข้อความอันเป็นเท็จในการปกปิดความจริงที่ควรแจ้งเข้าข่ายความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
โดย พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า โครงการฯที่ผู้เสียหายมาร้องเรียนให้ปปง.ตรวจสอบ เป็นโครงการกู้เงินของโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนครูฯร่วมกับธนาคารในการกำกับของรัฐและบริษัทประกันภัยในการกำกับของรัฐได้ปล่อยสินเชื่อการกู้เงินโดยบังคับให้ทำประกันชีวิตวงเงินสินเชื่อเป็นเวลา 9-10ปี โดยหักเงินจากยอดเงินกู้ พร้อมคิดดอกเบี้ย จะเป็นประโยชน์ หากผู้กู้เสียชีวิต ทางบริษัทประกันภัย จะชดใช้หนี้คืนให้ทั้งหมด
“จากการตรวจสอบ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ได้รับแจ้งว่าทางธนาคารและบริษัทประกันภัยดังกล่าวได้ทำประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ ไม่ใช่ประกันชีวิตอย่างที่แจ้งกับครูผู้กู้ อีกทั้งไม่ได้ให้กรมธรรม์ประกันภัยใดๆแก่ครูผู้เอาประกันภัย ซึ่งมีผู้ร่วมโครงการฯกว่า150,000ราย มูลค่าความเสียหายกว่า5,000ล้านบาท”
เลขาธิการ ปปง.ยืนยันว่า ปปง.จะรับเรื่องไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตรวจสอบข้อมูลและพยานหลักฐานต่างๆ เบื้องต้น คาดจะมีความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน จากนี้ ปปง.จะเร่งสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกฎหมายฟอกเงินต่อไป เพื่อช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของทุกคนอย่างเร่งด่วนต่อไป
ด้าน นายสงกานต์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติฯ กล่าวว่าโครงการนี้ได้ทำมากว่า 7 ปีแล้ว แต่ผู้เสียหายครู-อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ไม่ได้รับกรมธรรม์ จากบริษัทประกันแต่อย่างใด ซึ่งมีความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านบาท ดังนั้น ต้องการให้ เลขาธิการปปง. ตรวจสอบ และอายัดทรัพย์สินของคณะผู้บริหารต้นสังกัด โครงการ ชพค.ที่มีส่วนเห็นชอบ ผู้บริหารของธนาคาร และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อโครงการ ผู้ประกอบการ ตัวแทน นายหน้า ของบริษัทประกันภัย เพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปยังบุคคลที่สาม และในวันที่ 31 พฤษภาคม ครูและผู้เสียหายจะเดินทางมา กทม.จากนั้นวันที่ 1มิถุนายน ผู้เสียหายจะรวมตัว เดินทางไปกองปราบปรามเพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
ขณะที่ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภารัฐ( ป.ป.ท.) กล่าวถึงความคืบหน้าที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติวงเงิน4.5หมื่นล้านเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาผู้มีรายได้น้อย ด้วยการจ่ายเงินเยียวยาไร่ละ1,000บาท ครอบครัวละไม่เกิน15ไร่ หรือ15,000บาทว่าโครงการได้แล้วเสร็จกว่าร้อยละ90
ทั้งนี้ จากที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.)ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาใน 14จังหวัด 30อำเภอ จำนวน 111แปลง พบการกระทำผิดในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จ.ชัยภูมิ และจ.นครราชสีมา โดยผู้กระทำผิดมีตำแหน่งระดับผู้ใหญ่บ้าน มีพฤติกรรมในการเรียกรับผลประโยชน์ 2 กรณีคือ1.เรียกค่าตอบแทนจากชาวนารายละ100-200บาทโดยอ้างว่าจะลงชื่อเพื่อให้ได้รับสิทธิในโครงการ และ 2.คือ เรียกเงินจำนวน3,000-7,000บาท หากชาวนาต้องการให้แจ้งพื้นที่เกินจากความเป็นจริง เช่น เกษตรกรทำนาจริงเพียง5ไร่ แต่ให้แจ้งขึ้นทะเบียนเป็น10ไร่ โดยทั้ง 2 กรณี ทางปปท.ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วและยังพบว่ามีชาวนาขึ้นทะเบียนไม่ถูกต้อง แจ้งข้อมูลซ้ำซ้อนและแจ้งข้อมูลพื้นที่เกินและแจ้งพื้นที่นาคาบเกี่ยว
วันเดียวกัน ตัวแทนชาวบ้าน ต.บ้านกลาง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก จำนวน30 คน นำโดย นายสวาท มั่นคง อายุ73 ปี แกนนำชาวบ้านฯได้เดินทางมา ที่ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เพื่อยื่นหนังสือ ร้องเรียนให้ นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ตรวจสอบพฤติกรรมของ นายก่อเกียรติ เอื้องสุวรรณ อายุ 49 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 27 ต.บ้านกลาง ที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ-ทุจริตหักหัวคิวเงินช่วยภัยแล้งปี2557 ซึ่งมีชาวบ้านที่ร่วมลงชื่ออีก 130 ราย โดย นายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล ปลัดจังหวัดพิษณุโลก ได้รับเรื่องพร้อมกับรับปากว่าจะเร่งให้นายอำเภอวังทอง ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใหญ่บ้านรายนี้จนเป็นที่พอใจชาวบ้านจึงได้เดินทางกลับ
ขณะที่ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ปปท.) ในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เปิดเผยว่า วันที่ 27พฤษภาคม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธาน ศอตช.ได้ส่งรายชื่อข้าราชการที่อาจเข้าข่ายทุจริตชุด2 ให้กับนายกฯแล้ว หลังจาก 4 หน่วยงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งรายชื่อชุดสองมีจำนวนใกล้เคียงกับรอบแรก
ด้าน พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) กล่าวถึงการพิจารณารายชื่อข้าราชการที่อาจเข้าข่ายทุจริต ลอต 2 ของ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ว่า คงไม่มากเท่ากับลอตแรก เพราะครั้งนี้จะคัดกรองว่าส่วนไหนอยู่ในอำนาจกระทรวงก็ให้กระทรวงดำเนินการ แต่ถ้าอยู่ในอำนาจของ นายกฯ ก็จะเสนอต่อนายกฯ ซึ่งจะดำเนินการอย่างเร็ว เพราะมันเป็นงานที่ไม่ได้ทำเพียงแค่ให้ดูดี แต่เราทำงานเพื่อให้เกิดผลอย่างแท้จริง ส่วนการพิจารณาลงโทษแบบไหนคงขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี