สนช.ยื่นเสนอแก้ร่างรธน.24ประเด็น
วันพฤหัสบดี ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558, 16.51 น.
Tag :
28 พ.ค. 58 เมื่อเวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นประเด็นความเห็นในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) โดยมี พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ สมาชิก สนช. ในฐานะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้รับ
นายสุรชัย กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ.รวบรวมความเห็นฯ ได้ดำเนินการจัดทำความเห็นพร้อมคำเสนอแนะในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว รวมถึงได้เปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิก สนช. เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้นำความคิดเห็นของสมาชิก สนช. มาประกอบการพิจารณา จนได้มีความเห็นเป็นที่ยุติเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่จะเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญรวมทั้งสิ้น 24 ประเด็น เพื่อให้ กมธ.ยกร่างฯ ได้ใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
พล.อ.ยอดยุทธ กล่าวว่า ยินดีที่จะนำข้อเสนอจาก สนช. ที่ยกร่างขึ้น การรวบรวมความเห็นของ สนช. มีส่วนสำคัญ มีประเด็นที่เป็นประโยชน์สมควรที่จะนำไปพิจารณาร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปพิจารณาร่วมกันกับ กมธ.ยกร่างฯ เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญสมบูรณ์และเป็นประโยชน์กับประเทศชาติมากที่สุด
ด้านนายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็น ได้แถลงถึงประเด็นที่ สนช. เสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 24 ประเด็นว่า1.คำว่า “พลเมือง” กรรมาธิการมีความเห็นว่าคำว่า “พลเมือง” เป็นอุดมคติเกินไป ให้ใช้คำว่าบุคคลแทน 2.ที่มาของนายกรัฐมนตรีคนนอก เห็นด้วยกับ กมธ.ยกร่างฯ ที่เปิดช่องให้บุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงวิกฤต แต่เพิ่มเติมให้วุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่แทนกรณีที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร 3.อำนาจนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติมาตรา 181 เรื่องการขอความไว้วางใจ และมาตรา 182 เรื่องการผลักดันกฎหมายเร่งด่วน เสนอให้ตัดทั้ง 2 มาตราออก เนื่องจากมีปัญหาในการบังคับใช้จริง 4.ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความเหมาะสมหรือไม่ เห็นด้วยให้มีระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 250 คน และบัญชีรายชื่อโอเพ่นลิสต์ 200-220 คน 5.กลุ่มการเมือง เสนอให้ตัดออกทั้งหมด เนื่องจากเป็นการทำลายสถาบันทางการเมืองที่ควรส่งเสริมให้มีความเข้มแข็ง 6.อำนาจหน้าที่และที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เห็นว่าควรมาจากการสรรหาทั้งหมด และเพิ่มขั้นตอนหรือเงื่อนไขในการสรรหา โดยแบ่งกลุ่มอาชีพให้ชัดเจน ตัดอำนาจในการเสนอร่าง พ.ร.บ. และตัดอำนาจการถอดถอนบุคคลที่วุฒิสภามิได้แต่งตั้งหรือให้ความเห็นชอบ 7.ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับข้าราชการประจำในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงและการสั่งการ กรรมาธิการเห็นด้วย โดยให้แก้ไขบทบัญญัติให้มีความชัดเจนขึ้น 8.รูปแบบองค์กรบริหารท้องถิ่น แก้ไขมาตรา 82 เพิ่มระบบการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ใช้คำว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นเช่นเดิม และตัดการปฏิรูปด้านการบริหารท้องถิ่นออก 9.วาระของคณะผู้บริหารท้องถิ่น ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี ไม่เกิน 2 วาระ 10.ความเป็นอิสระของศาลและที่มาของตุลาการ การแต่งตั้ง สรรหา และเลือกตุลาการ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 11.อำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง ให้เป็นอำนาจหลักของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อส่งต่อให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาถอดถอน 12.อำนาจจัดการเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้จัดการเลือกตั้งเช่นเดิม ตัดคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) ที่ กมธ.ยกร่างฯ เสนอ
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า 13.การควบรวมผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่าไม่ควรควบรวม 14.องค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ควรให้มีการจัดตั้งองค์กรใหม่มากจนเกินไป 15.คณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ เห็นด้วยให้จัดตั้งขึ้น 16.บทเฉพาะกาล ห้ามมิให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในระยะเวลา 5 ปี 17.ควรยกเว้นให้ผู้ที่เป็น ส.ว. ที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ 24 พ.ค. และพ้นจากตำแหน่งตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สามารถลงสมัคร ส.ส. และ ส.ว. ได้ โดยไม่ถือว่ามีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และไม่ครอบคลุมถึง ส.ว. ที่เข้ารับหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง พ.ศ.2551-2557 18.กรอบเวลาในการจัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เห็นว่าควรขยายระยะเวลาเป็น 120 วัน และ 180 วัน ตามแต่ประเภทของกฎหมาย 19.การปฏิรูปสาธารณสุข เห็นว่าควรให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การสาธารณสุขแห่งชาติ 20.หนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่ควรรวมหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และก่อนทำหนังสือสัญญา ให้คณะรัฐมนตรีให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและต้องชี้แจงต่อรัฐสภา 21.ส่งเสริมแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ 22.ให้ตัดการกำหนดเงื่อนไขให้บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองต้องมีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นเพศตรงข้ามไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม 23.ตัดคำว่าเพศสภาพ เนื่องจากคำอื่นสามารถตีความคุ้มครองสิทธิได้กว้างขวางอยู่แล้ว และ 24.แก้ไขมาตรา 38 ตัดคำว่าสิทธิในการสมรส เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในการคุ้มครอง และคำว่าบุคคลสาธารณะ เนื่องจากเป็นข้อยกเว้นที่กว้างมาก ควรได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป