เคาะไพรมารี่โหวตสส.
ต้องมี‘ผู้หญิง’1ใน3
กมธ.เปิดโพลล์รธน.
หนุนปฏิวัติสกัดป่วน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 2 กรกฎาคม ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาบทบัญญัติเป็นรายมาตราต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 และเป็นการพิจารณาในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด 1 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี
โดย น.ส.สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกมธ.ยกร่างฯ แถลงว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบมาตรา 76 ว่าด้วยการให้พรรคการเมือง ต้องจัดองค์กรภายในให้สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสส.ในฐานะที่เป็นปวงชนชาวไทย และมีหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติและประชาชน
เคาะไพรมารี่โหวตมีผู้หญิง1ใน3
ทั้งนี้รายงานข่าวแจ้งว่า ในการพิจารณามาตราดังกล่าว ที่ประชุมได้ถกเถียงในประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาส่งผู้สมัครสส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ จะต้องมีการหยั่งเสียง หรือ ไพรมารี่ โหวต (Primary Vote) ในเขตเลือกตั้งหรือในภาคก่อน และมีเงื่อนไขว่าต้องมีสัดส่วนของสตรีไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ในบัญชีการหยั่งเสียงดังกล่าว โดยกมธ.ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรตัดเรื่องการกำหนดสัดส่วนออก เพราะเกรงจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น ไม่สามารถหาผู้สมัครได้ตามเงื่อนไข แต่ท้ายที่สุดก็มีมติด้วยเสียงข้างมาก 20 ต่อ 9 ให้คงการระบุสัดส่วนสตรีจำนวน 1 ใน 3 เอาไว้ตามเดิม
ตัด“สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ”
ด้าน พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมของกมธ.ยกร่าง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการพิจารณามาตรา 74 เรื่องมาตรฐานจริยธรรมของผู้นำการเมือง ที่ประชุมได้ตัดเรื่องสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติออก ขณะที่กลไกถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. หรือ ส.ว. ที่กระทำผิดร้ายแรงด้านมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งเดิมกำหนดให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ส่งเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการให้ประชาชนถอดถอนทางตรง และยื่นให้รัฐสภาดำเนินการถอดถอนสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ก็เปลี่ยนแปลงให้กำหนดตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญบัญญัติ
ส่วนมาตรา 75 เกี่ยวกับการปฏิบัติตนของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้นำอื่นในภาครัฐ ที่ประชุมเห็นชอบให้ตัดออกทั้งหมด และนำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแทน
กมธ.เปิดโพลล์หยั่งเสียงรธน.
วันเดียวกัน น.ส.สุภัทรา นาคะผิว โฆษก กมธ.ยกร่างฯ พร้อม นางถวิลวดี บุรีกุล ประธานอนุกมธ.การมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในกมธ.ยกร่างฯ ได้ร่วมกันแถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2 ซึ่งร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและสถาบันพระปกเกล้า เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม โดยสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ 77,160 ราย
ให้สอบย้อนหลังผู้สมัครสส.
ทั้งนี้ผลการสำรวจดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ ประชาชนร้อยละ 97.8 เห็นด้วยว่าพลเมืองต้องไม่กระทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนในชาติ ขณะที่ร้อยละ 94.1 เห็นด้วยว่าบุคคลห้ามใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ร้อยละ 91.2 เห็นด้วยกับการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งย้อนหลัง 3 ปี และร้อยละ 84.6 เห็นด้วยให้ตรวจสอบไปถึงคุณสมบัติคู่สมรสและบุตรย้อนหลัง
หนุนออกเสียงโอเพ่นลิสต์
ร้อยละ 93.5 เห็นว่า เมื่อสส.ไปเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส. ร้อยละ 90.6 เห็นว่าประชาชนนอกจากเลือกพรรคการเมืองที่ชอบได้แล้ว ยังสามารถเลือกผู้สมัครที่ตนเองชอบกับบัญชีรายชื่อพรรคได้อีกด้วย ร้อยละ 88.7 เห็นว่า ส.ว. ควรมีจำนวนไม่เกิน 200 คน ร้อยละ 77.1 เห็นว่า สว.มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ1 คน ส่วนจำนวนที่เหลือให้มาจากการสรรหา
เปิดทางนายกฯคนนอกฝ่าวิกฤติ
ร้อยละ 86.6 เห็นว่า ในกรณีบ้านเมืองเกิดวิกฤติ สส.สามารถลงมติให้คนที่มีความสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเป็นส.ส.ด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสส.ทั้งหมด ร้อยละ 83.9 เห็นว่าการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นส.ส.ต้องจัดให้มีการหยั่งเสียงของประชาชน หรือสมาชิกพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งหรือภาคนั้น ๆ ก่อน
ห้ามขรก.-อัยการนั่งรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 97.6 เห็นว่า ตำแหน่งทางการเมืองและกรรมการองค์กรตรวจสอบต่างๆ ควรยื่นบัญชีทรัพย์สินและเปิดเผยต่อสาธารณะ ร้อยละ 96.6 เห็นว่ามีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิเข้าชื่อเสนอถอดถอนนักการเมืองและกรรมการองค์กรตรวจสอบ ร้อยละ 93 เห็นว่าเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่องค์กรต่างๆ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด ร้อยละ 92.8 เห็นว่า ห้ามข้าราชการ อัยการดำรงตำแหน่งหรือปฎิบัติหน้าที่ใดในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐ หรือบริษัทเอกชน และร้อยละ 89.5 เห็นว่าการชี้ขาดการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์
หนุนปฏิวัติถ้ายังป่วนไม่จบ
สำหรับคำถามปลายเปิดในประเด็นการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ซึ่งคำถามแรกระบุว่า หากหลังการเลือกตั้งยังคงเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวาย เหมือน 10 ปีที่ผ่านมา ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 17.3 เห็นควรให้ตั้งรัฐบาลผสม ร้อยละ 11 ให้ทหารปฎิวัติเพื่อมีรัฐประหารอีก ร้อยละ 10.3 ให้ยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 9.8 ให้ออกกฎหมายบังคับอย่างเด็ดขาดหรือออกกฎอัยการศึก
เสียงหนุนนิรโทษกรรมเริ่มหด
ขณะที่คำถามถึงการนิรโทษกรรมให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2548-2557 ยกเว้นผู้กระทำผิดคคีทุจริตหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีวางเพลิงฆ่าทำร้ายร่างกาย ลักทรัพย์ และแกนนำการชุมนุมประท้วงทางการเมือง ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 52.9 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในกรณีดังกล่าว ขณะที่ร้อยละ 43.9 ไม่เห็นด้วย ซึ่งในข้อสุดท้ายนี้ได้ผลที่ต่างจากการสำรวจในครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์มาก เนื่องจากครั้งนี้มีประชาชนเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมถึงร้อยละ 90.5
สปช.ยันต้องนิรโทษโดยเร็ว
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการเตรียมสรุปรายงานผลการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง เพื่อนำเสนอให้ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. พิจารณาต่อว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเบื้องต้น มีการกำหนดขั้นตอนกระบวนการสร้างความปรองดอง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรม หรือวิธีการอื่นๆ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักการที่ไม่รวมถึงกรณีทุจริต คดีอาญาตามมาตรา 112 และคดีอาญาความผิดร้ายแรง ซึ่งเชื่อว่าหากเป็นไปตามแนวทางนี้สังคมจะให้การยอมรับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี