แจงยิบซื้อเรือดำน้ำ
‘ทัพเรือ’ยก5เหตุผล
ชูมั่นคง-สกัดปิดอ่าว
ยันของจีนครบเครื่อง
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพเรือ ได้แจกเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ มีความยาว จำนวน 9 หน้า ของกระดาษ เอ4 หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งให้กองทัพเรือชะลอโครงการจัดซื้อจัดหาเรือดำน้ำ แบบชั้น Yuan Class S26T จำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท จากสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมให้กองทัพเรือ ชี้แจง 2 ประเด็นคือ ความจำเป็นในการพิทักษ์ผลประโยชน์ทางทะเล และ เหตุผลที่ต้องซื้อเรือดำน้ำของสาธารณะรัฐประชาชนจีนต่อสาธารณชน โดย พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)มอบหมายให้พล.ร.อ.ณรงค์พล บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ได้จัดทำเอกสารเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ
สำหรับเอกสารที่แจก ได้ชี้แจงมีเนื้อหาหลักๆ 5 ข้อคือ 1.ความจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ 2.เรือดำน้ำกับความมั่นคงในสถานการณ์ และภัยคุกคามปัจจุบัน 3.เรือดำน้ำกับผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 4.เรือดำน้ำกับความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ และ5.การพิจารณาคัดเลือกเรือดำน้ำของกองทัพเรือ รวมถึงมีภาพประกอบเกี่ยวกับ กำลังเรือดำน้ำของชาติต่างๆในภูมิภาค เรือดำน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน เส้นทางคมนาคมทางทะเล ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมถึงการเปรียบเทียบเรือดำน้ำกับความลึกของทะเล ขีดความสามารถของเรือดำน้ำ S 26 T ด้วย
โดยเนื้อหาเอกสารระบุว่า กองทัพเรือ มีความจำเป็นที่จะต้องมีเรือดำน้ำเข้าประจำการเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศทางทะเล โดยเมื่อปี 2481 กองทัพเรือ มีเรือดำน้ำจากญี่ปุ่น เข้าประจำการ 4 ลำ เคยช่วยทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการถูกยึดครอง และเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ในกรณีพิพาทไทย- อินโดจีน มาแล้ว ซึ่งเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้ถูกปลดประจำการไปพร้อมกันเมื่อปี2494 ถือเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางทะเล ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆในยุคปัจจุบัน โดยประเทศไทยมีผลประโยชน์ทางทะเล คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 24 ล้านล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล การขนส่งทางทะเล อุตสาหกรรมต่อเนื่องและการท่องเที่ยว นับวันจะทวีมูลค่ามากขึ้นในอนาคตและเส้นทางเดินเรือที่ปลอดภัย จะส่งเสริมเศรษฐกิจเหล่านี้ให้มีความมั่นคง ในพื้นที่บริเวณอ่าวไทย เป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก ที่มีการนำเข้า–ส่งออกสินค้าจำนวนมาก มีเรือสินค้าผ่านเข้าออกปีละประมาณ 15,000ลำ มีความเสี่ยงสูงทางด้านภูมิศาสตร์ในการที่จะถูกปิดอ่าว หรือ ขัดขวางการใช้เส้นทางเดินเรือ เนื่องจากปากอ่าวไทยมีความกว้างประมาณ 200ไมล์ทะเล หรือ 400กิโลเมตรเท่านั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อ่าวไทยถูกปิดมาแล้ว
ทั้งนี้ ในเอกสารยังให้เหตุผลว่า การที่กองทัพเรือ เสนอโครงการจัดหาเรือดำน้ำจำนวน3ลำใช้งบประมาณ 36,000 ล้านบาท หากมองระยะยาวเมื่อนับอายุการใช้งานของเรือดำน้ำที่มีอย่างน้อย 30ปี รวมกับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการต่อปีแล้ว คิดเป็นเพียง 0.006% ของผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การจัดซื้อเรือดำน้ำจึงมีความคุ้มค่าอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการ เพื่อจะรักษาดุลกำลังทางเรือในสถานการณ์ความมั่นคงทางทะเลในปัจจุบันได้ จะทำให้กองทัพเรือ มีขีดความสามารถครบทุกมิติ คือ ผิวน้ำ ใต้น้ำ และในอากาศ เป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังรบ หากเกิดความขัดแย้งและสถานการณ์ที่อ่อนไหวระหว่างประเทศ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่คาดไม่ถึง
ในเอกสารได้ระบุถึงกำลังเรือดำน้ำของชาติต่างๆในภูมิภาคประเทศเพื่อนบ้านว่าปัจจุบัน กองทัพเรือไทย มีความเสียเปรียบอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศต่างๆรอบบ้าน ล้วนมีเรือดำน้ำเข้าประจำการ เป็นส่วนใหญ่ อาทิ สิงคโปร์ ปัจจุบัน มีเรือดำน้ำ ประจำการ 6 ลำ และกำลังต่อเพิ่มอีก2 ลำ เวียตนาม เข้าประจำการแล้ว 4 ลำ สั่งต่อเรือดำน้ำจากรัสเซีย จำนวน 6 ลำ อินโดนีเซีย มีเรือดำน้ำประจำการ 2 ลำ กำลังต่อเพิ่มที่เกาหลีใต้อีกจำนวน 3 ลำ และมาเลเซีย มีเรือดำน้ำประจำการ 2 ลำ ดังนั้น การปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยการเสริมสร้างกำลังทางเรือ จึงเป็นความจำเป็น เพื่อให้มีกำลังทางเรือที่สมดุลทัดเทียมกันในภูมิภาคหรือเพื่อให้มีศักยภาพในการรบที่ใกล้เคียงกัน หรือเหนือกว่า
สภาพภูมิศาสตร์ของอ่าวไทย ไม่ได้เป็นอุปรรคในการปฏิบัติการของเรือดำน้ำปัจจุบัน เนื่องจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพเรือสหรัฐ มีขนาดใหญ่กว่าในอดีตมาก ได้เข้ามาฝึกกับกองทัพเรือในอ่าวไทยเป็นประจำ อีกทั้งเรือดำน้ำสมัยใหม่ มีอุปกรณ์การเดินเรือที่ทันสมัยมาก มีระบบรักษาความลึกขณะดำน้ำโดยอัตโนมัติที่มีความเที่ยงตรงสูง ดังนั้นการปฏิบัติการในเขตน้ำตื้น ถือเป็นเรื่องปกติของเรือดำน้ำซึ่งอ่าวไทยมีน้ำลึกเฉลี่ย 50 เมตร จึงไม่ใช่อุปสรรคในการปฏิบัติการของเรือดำน้ำปัจจุบัน และเมื่อเรือดำน้ำดำลึกกว่า20เมตร เครื่องบิน ไม่สามารถมองเห็นได้
เอกสารยังระบุเปรียบเทียบขีดความสามารถของเรือดำน้ำ รุ่น S 26 TมีระบบAIP(Air Independent Propulsion)ทำให้สามารถปฏิบัติการใต้น้ำ ได้นาน 21วัน โดยไม่ต้องโผล่ จะได้เปรียบหากมีการรบยืดยื้อ โอกาสที่จะถูกตรวจจับ จึงต่ำมาก อีกทั้ง มีการติดตั้งระบบอาวุธ ที่ครบถ้วนหลายชนิดมา พร้อมกับเรือ ได้แก่อาวุธปล่อยนำวิถี ที่สามารถยิงจากใต้น้ำสู่เป้าหมายเรือรบผิวน้ำ และ ยังสามารถยิงเป้าหมายบนฝั่งได้ รวมถึง อาวุธตอร์ปิโด และทุ่นระเบิด จึงทำให้มีขีดความสามารถที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อเทียบกับแบบอื่นที่เสนอมา นอกจากนี้ อุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับกำลังพลในการขึ้นสู่ผิวน้ำแบบฉุกเฉิน ที่ใช้อุปกรณ์ของยุโรป จึงมีความมั่นใจในความปลอดภัยของกำลังพล
ส่วนในความปลอดภัยของตัวเรือ เรือเป็นแบบตัวเรือ2ชั้น(Double Hull)มีกำลังลอยสำรองสูงกว่าแบบตัวเรือชั้นเดียว (Single Hull)ออกแบบผนังกันน้ำภายในเรือและช่องทางออกจากตัวเรือที่สมบูรณ์และช่องทางออกของเรือดำน้ำ สามารถเชื่อมต่อกับยานกู้ภัยใต้น้ำได้ตามมาตรฐานนาโต้นอกจากนี้ยังเป็นเรือดำน้ำแบบดีเซล-ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ที่ผลิตสำหรับกองทัพเรือจีน ทำให้หมดปัญหาเรื่องการสนับสนุนอะไหล่ตลอดอายุใช้งานและการส่งกำลังบำรุงที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
ในด้านการบำรุงรักษาเรือ บริษัทผู้สร้างเรือ จะรับประกันอุปกรณ์ทุกระบบเป็นเวลา 2 ปี สนับสนุนอะไหล่ เป็นเวลาถึง 8 ปี และยังถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเรือดำน้ำ โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงตัวเรือและระบบต่างๆของเรือ รวมทั้งระบบอาวุธทำให้กองทัพเรือเข้าถึงองค์ความรู้ที่สามารถดำรงความพร้อมของเรือดำน้ำได้ตลอดอายุการใช้งาน
สำหรับการฝึกอบรมกำลังพล เนื่องจากเรือดำน้ำที่จีนเสนอเป็นแบบเดียวกับที่กองทัพเรือจีนใช้ราชการในปัจจุบัน กองทัพเรือจีนจึงสามารถให้การสนับสนุนการฝึกได้อย่างเต็มที่ควบคู่ไปกับการสร้างเรือ โดยใช้เรือของกองทัพเรือจีน เป็นเรือฝึก เริ่มจากการใช้เรือปกติถึงขั้นการใช้เรือทางยุทธวิธี โดยการฝึกกำลังพล จะใช้เวลาฝึกนานถึง 3ปี และยังมีการส่งช่างเทคนิคไปทำการเรียนและฝึกอบรมที่อู่ต่อเรือและบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ด้วย
ในเอกสารยังชี้แจงด้วยว่าในส่วนประเด็นเรื่องงบประมาณ36,000ล้านบาทที่จะนำมาจัดซื้อเรือดำน้ำ กองทัพเรือ ใช้การผ่อนชำระในระยะยาว 7–10 ปี ปีละประมาณ3,000-5,000ล้านบาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาผ่อน และงบประมาณส่วนนี้ มาจากงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับจัดสรรประจำปีตามปกติ มิได้มาจากงบกลาง หรืองบพิเศษของรัฐบาล ขณะที่กองทัพเรือจะได้รับมอบเรือดำน้ำ มาใช้งานทั้ง 3 ลำ ภายในระยะเวลา 6 ปี จึงถือว่า เป็นเงื่อนไขที่กองทัพเรือได้ประโยชน์มาก
“ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่อนุมัติโครงการจัดหาเรือดำน้ำในครั้งนี้ กองทัพเรือก็ต้องพัฒนากองทัพเรือด้วยงบประมาณก้อนนี้อยู่ดี แต่เปลี่ยนเป็นการจัดหายุทโธปกรณ์ประเภทอื่นแทน เช่น เรือฟริเกต หรือ อากาศยานปราบเรือดำน้ำแทนเป็นต้นซึ่งก็ไม่สามารถทำให้กองทัพเรือบรรลุภารกิจที่สมบูรณ์ได้อยู่ดีเพราะไม่มียุทโธปกรณ์ใด สามารถมาทำงานแทนที่เรือดำน้ำได้ดังนั้นโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือครั้งนี้ ถือว่าเป็นความจำเป็นจริงๆเพื่อผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงทางทะเลอย่างแท้จริง และคุ้มค่าเงินที่สุดจากเหตุผลความจำเป็นที่กล่าวมาทั้งหมด
กองทัพเรือ ขอยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดหาเรือดำน้ำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ด้วยการเพิ่มศักยภาพของกำลังทางเรือของกองทัพเรือให้ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน และรักษาดุลกำลังทางเรือในภูมิภาคให้มีความสมดุล”
ช่วงสุดท้าย เอกสาร ทางกองทัพเรือ ยังชี้แจงว่าโครงการจัดหาเรือดำน้ำฯกองทัพเรือได้พิจารณาอย่างรอบคอบจากข้อเสนอของประเทศต่างๆ ทั้ง 6ประเทศได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส รัสเซีย สวีเดนและเยอรมนี ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเรือดำน้ำ รุ่น S26T จากจีนเพราะในวงเงิน 36,000 ล้านบาท ตามPackageที่จีนเสนอ สามารถทำให้ กองทัพเรือบรรลุความต้องการในการมีกองเรือดำน้ำที่สมบูรณ์แบบตามความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กองทัพเรือที่วางไว้
และยังระบุอีกว่า ในการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ เป็นการจัดหาในลักษณะ รัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ G-to-G จึงมีรัฐบาลจีนให้ความมั่นใจในด้านคุณภาพและการสนับสนุน และยืนยันอีกครั้งว่าเป็นโครงการที่กองทัพเรือได้พิจารณาอย่างรอบคอบและ มีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติทางทะเลทียั่งยืนตลอดไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี