นายกฯส่งออกข้าวแฉ
‘จีทูจี’พิสดาร
ขายหน้าโกดังในไทย
ตบตาทำสัญญาจีนแค่ล้านตัน
แกนนำชาวนาตอกฝาโลงซ้ำ
ชี้โรงสีสวมสิทธิ์แบบสมยอม
ไต่สวนมัดรัฐบาลปูกลางศาล
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่ 3 คดีโครงการรับจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
นายกฯส่งออกซัดจีทูจีพิสดาร
โดยอัยการ โจทก์ นำพยานให้ศาลไต่สวน ปากแรกคือ นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ซึ่งให้การถึงโครงการจำนำข้าวที่วางกรอบซื้อ-ขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีว่า ไม่ใช่การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอย่างแท้จริง เพราะส่งข้าวที่ขายให้ผู้แทนไทยที่หน้าโกดังในประเทศไทย ไม่ใช่ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ เป็นยุทธศาสตร์ผิดปกติไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าข้าว ทำให้เกิดช่องโหว่นำข้าวที่อ้างว่าเป็นการส่งออกมาหมุนเวียนขายในประเทศได้
เชื่อขายให้จีนแค่1ล้านตัน
ส่วนการขายข้าวจีทูจีช่วงปลายรัฐบาลจำเลยนั้น พยานระบุว่าดำเนินการจริงเพียง 1 ล้านตันที่บริษัทคอฟโก้ฯ รัฐวิสาหกิจจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เดินทางมาพร้อมรัฐบาลจีนแล้วทำสัญญารับซื้อข้าวที่เป็นข้าวใหม่ ส่วนสัญญาฉบับอื่นในช่วงแรกที่ซื้อข้าว 2 ล้านตันนั้น เป็นข้าวเก่าทั้งหมด ทั้งที่ปกติรัฐบาลจีนจะซื้อข้าวใหม่เท่านั้น ขณะที่จีนมีโควตารับซื้อข้าวต่างประเทศเพียง 5.3 ล้านตัน แต่มีระบุว่าทำสัญญาซื้อขายจีทูจี 14 ล้านตัน พยานไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะข้าวนั้นเป็นข้าวเก่าเก็บในโกดัง อีกทั้ง บริษัทเอกชนที่เป็นตัวแทนของจีนที่ได้สิทธิ์ซื้อข้าว ต้องเป็นบริษัทคอฟโก้บริษัทเดียวตามที่จีนแจ้งไว้ WTO ส่วนบริษัท ไห่หนาน เกรน แอนด์ ออยล์ อินดัสเทรียล เทรดดิ้ง ซึ่งรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่าได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวด้วยนั้น จะมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนจีนทำการค้าแทนได้ โดยหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ยึดอำนาจได้นำโควต้าข้าวมาให้สมาคมจัดสรรกับบริษัทผู้ส่งออก ซึ่งถูกต้องและเป็นธรรมที่สุด
ชี้ผูกขาดรับจำนำสูงกว่าตลาด
นายวิชัยยังเบิกความอีกว่า ปกติไทยจะผลิตข้าวได้ปีละ 20 ล้านตัน แบ่งเป็นบริโภคในประเทศ 10 ล้านตัน ส่วนที่เหลือส่งออก แต่เมื่อมีการแทรกแซงตลาดด้วยราคารับจำนำ 15,000 บาทที่สูงกว่าราคาตลาดทั่วไป โดยข้าวไปอยู่ในมือรัฐบาลถึง 13 ล้านตัน ขณะที่ไม่มีข้าวเหลือพอให้เอกชนส่งออก ก็เป็นเหมือนการผูกขาด แต่ที่เอกชนยังส่งออกได้ถึง 7 ล้านตัน เพราะมีข้าวหมุนเวียน ขณะที่รัฐบาลไม่ได้ระบายข้าวจีทูจีที่แท้จริง จึงทำให้มีข้าวรั่วไหลมาถึงเอกชน อีกทั้ง การที่รัฐบาลรับซื้อแพงแต่ขายได้ถูก เพราะคุณภาพข้าวลดลงเมื่อถูกเก็บในโกดังหลายปี โดยราคาข้าวในตลาดระหว่างข้าวหอมมะลิ กับข้าวขาวค้างเก่าจะมีราคาต่างกันถึงครึ่งหนึ่ง
ส่งหนังสือท้วง8ครั้งรบ.ปูไม่ฟัง
“ขณะที่สมาคมฯ เคยทำหนังสือท้วงติงถึงรัฐบาล 8 ครั้ง และขอเข้าพบนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ เพื่อให้ข้อเสนอแนะว่า ให้จำกัดจำนวนข้าวที่รับจำนำ เพราะในช่วงแรกของโครงการรัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวทุกเม็ด กระทั่งงบประมาณเริ่มจะไม่พอ รัฐบาลจึงจำกัดจำนวนรับซื้อเหลือรายละ 350,000 บาท และขอให้ประกาศขายข้าวตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ที่จะกำหนดคุณภาพและลักษณะเม็ดข้าวแต่ละประเภทไว้ชัดเจน ไม่ใช่ขายข้าวตามสภาพที่อยู่ในโกดังที่มีข้าวเก็บไว้จำนวนมากเป็นหมื่นตัน อาจนำข้าวด้อยคุณภาพปะปน เมื่อไม่มีผู้แทนคลังสินค้ารับผิดชอบตรวจสอบคุณภาพข้าว เมื่อซื้อแล้วต้องยอมรับข้าวทั้งหมดไม่อาจฟ้องกลับรัฐบาลได้หากพบข้าวไม่ได้มาตรฐานหรือผิดประเภท ดังนั้น ถ้าจะขายข้าวตามสภาพ เอกชนก็ต้องเสี่ยง เว้นแต่เอกชนจะรู้จักกับโกดังนั้น แล้วทราบสภาพข้าวที่แท้จริง แต่สมาคมฯ ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลเรื่องดังกล่าว”นายวิชัยระบุ
ซัดนโยบายปูไม่ช่วยชาวนาถล่มส่งออก
ขณะที่ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามซักถามถึงการกำหนดราคารับจำนำข้าวสูงจะช่วยเกษตรกรได้ นายวิชัยตอบว่า การกำหนดราคาข้าวไม่ควรสูงเกินไปจนขายข้าวไม่ได้ ซึ่งผลกระทบไม่ได้อยู่เพียงข้าวเหลือเก็บโกดังที่จะเน่า แต่ข้าวที่รับจำนำไปอยู่ในมือของรัฐบาลทั้งหมดทำให้เอกชนไม่เหลือข้าวส่งออก ซึ่งผู้ค้า-ผู้ส่งออกมีหน้าที่ระบายข้าวแต่ละปีไม่ให้เหลือโดยเอกชนจะปรับราคาตามกลไกตลาด ไม่ใช่การตั้งราคาสูงราคาเดียวติดต่อยาวนาน 3 ปีเหมือนรัฐบาลทำ เพราะถ้าราคาสูงตลาดโลกรับซื้อไม่ได้จะทำให้ข้าวเหลือค้างปี พร้อมชี้ว่ารัฐบาลจำเลยรับจำนำราคาสูง 15,000 บาทต่อตัน แล้วนำมาขายได้เพีย 6,000 บาทต่อตัน เพราะเป็นข้าวเก่าเก็บ แสดงว่าการแทรกแซงราคาข้าวของรัฐบาล ไม่สัมพันธ์กับราคาตลาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการไต่สวน ทนายความจำเลยพยายามซักถามพยานว่า ข้อมูลสถิติตัวเลข เป็นเรื่องความเห็นของพยานเองใช่หรือไม่ นายวิชัยกล่าวว่า ข้อมูลตัวเลขการค้าข้าวที่ส่งให้ศาลเป็นหลักฐานนั้น เป็นสถิติที่รวบรวมข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์
“ระวี”ยันมีสวมสิทธิ์แบบสมยอม
จากนั้น เป็นการไต่สวนพยานปากที่ 2 คือ นายระวี รุ่งเรือง เครือข่ายแกนนำชาวนาซึ่งได้เบิกความถึงภาพรวมโครงการจำนำข้าวว่า เป็นโครงการที่ดี แต่ระบบจัดการ ตรจสอบโครงการไม่สามารถปฎิบัติได้จริง เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญการตรวจเมล็ดพันธุ์ข้าว ความชื้นคุณภาพข้าว พร้อมยืนยันว่าการสวมสิทธิ์ข้าวของชาวนาโดยโรงสีมีจริง ลักษณะเป็นสมยอมกันระหว่างชาวนากับโรงสีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น หลักเกณฑ์ผลผลิตกำหนดให้ได้ 800 กก.ต่อไร่ แต่ความจริงถ้าชาวนาได้ผลผลิตไม่ถึง 800 กก.ต่อไร่ ส่วนต่างที่ขาดไปโรงสีจะมาขอใช้สิทธิ์ชาวนา โดยให้ค่าตอบแทน 1,000 – 3,000 บาทต่อใบประทวน เมื่อหน่วยงานรัฐมาตรวจสอบ โรงสีจะนำข้าวอื่นที่ไม่ได้คุณภาพมาใส่ให้ครบจำนวนตรวจสอบตามใบประทวน จึงหาหลักฐานยากคล้ายการซื้อสิทธิขายเสียงเลือกตั้ง ที่ไม่มีหลักฐานเป็นเอกสาร แต่รับรู้ทั่วกัน โดยจับกุมดำเนินคดีทั่วประเทศ 270 คดี ซึ่งไม่ใช่โรงสีรายใหญ่ เทียบกับสัดส่วนชาวนาที่ร่วมโครงการถือว่าน้อยมาก
ไต่สวนได้2ปากนัดครั้งหน้า4มีค.
นายระวี ยังเบิกความตอบคำถามทนายความจำเลยว่า ได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ปิด ธกส. เพื่อไม่ให้รัฐบาลนำเงินมาจ่ายชาวนาด้วยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีสิทธิ์กู้เงิน จึงร่วมกับมวลชนเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีอำนาจแท้จริงมากู้เงินจากสถาบันการเงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา
ทั้งนี้ เมื่อศาลไต่สวนพยานทั้ง 2 ปากเสร็จสิ้นเวลา 15.30 น.ได้นัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งต่อไปวันที่ 4 มีนาคม เวลา 09.30 น.
เตือนพยานโจทก์สัมภาษณ์กระทบคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ทนายความจำเลยแถลงต่อศาล ให้ดำเนินการกับกรณีพยานของอัยการโจทก์คือ นายระวีให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าเบิกความ ถึงประเด็นที่จะนำสืบต่อศาลว่า พยานทำไม่ถูกต้อง หลังศาลเคยสั่งห้ามคู่ความสองฝ่ายให้สัมภาษณ์เกรงชี้นำ กระทบต่อคดี ซึ่งผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนแจ้งว่า ศาลติดตามและเตรียมแจ้งให้คู่ความทราบอยู่แล้ว โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมแถลงไม่ให้บุคคลอื่น นอกเหนือจากคู่ความ สัมภาษณ์กระทบต่อคดี ที่จะเป็นการละเมิดศาลตามกฎหมาย โดยศาลกำชับให้ฝ่ายอัยการ ดูแลพยานด้วย
ศาลสั่งห้ามจ้อฝ่าฝืนเจอละเมิดศาล
ต่อมา นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรมออกคำแถลงระบุว่า ขณะนี้มีการนำคำให้การพยานในคดี ไปวิเคราะห์ในสื่อต่างๆ ลักษณะเป็นการชี้นำหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ยังมีพยานบางปากให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีกระบวนพิจารณาของศาลฎีกาฯยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ ขอชี้แจงว่าการเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคืบหน้าในการพิจารณาของศาล ทำได้ แต่ข้อความหรือความเห็นเหนือคู่ความหรือเหนือพยานในคดี โดยเฉพาะข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริง การวิพากษ์วิจารณ์กระบวนพิจารณาอย่างไม่เป็นกลาง ไม่ถูกต้อง ข้อความที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของคู่ความหรือพยานไม่สามารถทำได้ และอาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายงดวิเคราะห์ ให้สัมภาษณ์สื่อ ที่อาจมีผลกระทบต่อการพิจารณาของศาล และอาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อน
“ปู”ปิดปากชี้ศาลห้ามสัมภาษณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทีมทนายความเดินทางมายังศาลฎีกาฯ เพื่อร่วมฟังการนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์เป็นครั้งที่ 3 โดยมีแกนนำและอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมถึงแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตลอดจนประชาชนผู้สนับสนุนรอต้อนรับและให้กำลังใจ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ศาลขอความร่วมมือคู่ความ 2 ฝ่าย งดให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีรับจำข้าว เพราะบรรยากาศในการสืบพยานนั้นกำลังเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม หลังรับฟังศาลไต่สวนเสร็จสิ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
โดยนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์เปิดเผยหลังสืบพยานโจทก์ว่าวันนี้ศาลสืบพยานได้เพียง 2 ปาก โดยจะไต่สวนอีกครั้งวันที่ 4 และ 23 มีนาคม ทั้งนี้ ศาลออกข้อกำหนดห้ามคู่ความ รวมถึงบุคคลภายนอกและสื่อมวลชน ให้ข่าว แสดงความเห็น หรือวิเคราะห์เรื่องเกี่ยวกับคดีที่อาจจะเป็นการชี้นำสังคม ซึ่งหากฝ่าฝืนจะเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี