1 เม.ย.59 ที่รัฐสภา การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ครั้งที่ 16/2559 เพื่อพิจารณาการเสนอประเด็นคำถามหรือความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อประกอบการพิจารณาในการเสนอคำถาม ที่สมควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม โดยมี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท.ทำหน้าที่ประธานการประชุม
โดย ร.อ.ทินพันธ์ กล่าวชี้แจงในที่ประชุมว่า มีสมาชิกเสนอญัตติมา 2 ญัตติ คือ 1.ขอให้สปท.พิจารณาคำถามหรือความเห็นต่อ สนช.เพื่อประกอบพิจารณาตั้งคำถามประชามติว่า ขอให้พิจารณาการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่เสนอโดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สปท. และ 2.ขอให้ สปท.พิจารณาคำถามหรือความเห็นต่อ สนช.เพื่อประกอบการตั้งคำถามประชามติว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ใน 5 ปีแรก นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ให้นายกรัฐมนตรี มาจากความเห็นชอบของรัฐสภา ที่เสนอโดย นายวันชัย สอนศิริ สปท.
โดยก่อนเข้าสู่การเสนอญัตติ มีสมาชิกจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่ สปท. ตั้งคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่า สปท.ไม่ได้มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น โดย นายนิกร จำนง สปท. ลุกขึ้นอภิปรายว่า ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด ที่ส่งมาให้ สนช. พิจารณาก็ไม่ได้มีเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ที่สุดก็มีการแก้ไขให้ สปท.สามารถตั้งคำถามได้ ด้านหนึ่งก็มองว่า เป็นการให้เกียรติ สปท. แต่อีกด้านเห็นว่า อาจทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่จบ เพราะทุกวันนี้ ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่หากมีคำถามอาจทำให้ต้องกลับไปแก้รัฐธรรมนูญอีกก็ได้
ดังนั้น สปท.อาจจะเป็นเพียงหนังหน้าไฟจากการตั้งคำถาม เพราะเมื่อตอนรัฐบาลส่งความเห็นมาให้ กรธ. เพื่อปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นความเห็นแม่น้ำ 4 สาย ตนก็เป็นหนึ่งในสมาชิกแม่น้ำสายหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย
ขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ สปท. อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม เพราะการตั้งคำถาม อาจนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง เพื่อให้คนนอกมาเป็นนายกฯ และมอบอำนาจให้ ส.ว. แต่งตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกฯคนนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ได้ ทั้งที่ในร่างรัฐธรรมนูญระบุแล้วว่า คนนอกสามารถเป็นนายกฯได้ ซึ่งตนคิดว่า ควรยึดโยงกับประชาชน โดยการทำประชามติควรมุ่งไปที่เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ จึงอยากขอวิงวอน หากจะทำอะไรก็ควรคิดถึงปัญหาบ้านเมืองในอนาคตด้วย
จากนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวเสนอญัตติว่า ตนได้สอบถามสมาชิกหลายท่านบอกว่า ญัตตินี้เป็นคำถามเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ เพราะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับสังคม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่สร้างความแตกร้าว ที่สำคัญไม่เป็นคำถามที่มีลักษณะในการเปลี่ยนแปลงร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ตนคิดว่า ต้องหาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งการยึดอำนาจ และการร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ทั้งสองเรื่อง ไม่ได้นำไปสู่ประเทศที่เจริญพัฒนา ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความพยายามสร้างความปรองดอง แต่พอมีรัฐบาลเข้ามาก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เมื่อตนดูร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 279 มาตรา ยอมรับว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีและครอบคลุม แต่สิ่งที่ไม่พบในร่างรัฐธรรมนูญคือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงได้เสนอคำถามนี้ และเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ก็ควรมีการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ หรืออาจจะตั้งชื่ออื่นๆ ที่เป็นทางการภายหลังก็ได้ โดยตนเสนอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ ให้มีคณะกรรมการชุดนี้ เป็นผู้ดำเนินการ มีหน้าที่ศึกษาปัญหาข้อเสนอแนะต่างๆ ต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นๆ
ด้าน นายวันชัย กล่าวเสนอญัตติว่า การเสนอญัตติเพื่อประกอบการพิจารณาคำถามประชามติ ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย จะต้องไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเหมือนก่อนเหตุการณ์รัฐประหารเข้ามาอีก ส.ว.สรรหา 250 คน มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้รัฐบาลมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ง่ายๆ รวมทั้งมีหน้าที่ติดตามการเดินหน้าปฏิรูป ดังนั้น ถ้า ส.ว.250 คน มีส่วนร่วมในการหานายกฯ ช่วยกันดูว่า นายกฯคนไหนไม่ฉลาด ประวัติไม่ค่อยดี จะทำให้เราคอยช่วยกันดู ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยกันดูแลประคับประคอง ฝ่ายการเมืองที่มาจากภาคประชาชนจะได้เห็นว่า เรื่องการปฏิรูปนั้นสำคัญ เพราะ ส.ว.สรรหา มีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯเข้ามา ดังนั้น ญัตตินี้ถือว่า เป็นการแก้วิกฤติของประเทศได้จริง เพราะคนที่จะมาเป็นนายกฯ ถูกเลือกจากคนที่มาจากการสรรหาในหลายวิชาชีพกับฝ่ายเลือกตั้ง โดยร่วมกันดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือเป็นบรรยากาศที่สวยงาม จะทำให้เราได้รับช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรียบร้อย แม้ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอย่างประเทศสากล แต่คำถามนี้คำถามเดียว จะครอบคลุมไปถึงญัตติแรก เพราะถ้าเราร่วมกันก็จะนำไปสู่ความปรองดองได้
จากนั้น ที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย โดยสมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุนญัตติของนายวันชัย อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน และนายเสรี สุวรรณภานนท์ สปท. เพราะเห็นว่า ประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก จะต้องมีกลไกควบคุมการทำงานของรัฐบาล จึงเห็นว่าการที่ ส.ว.มีอำนาจในการดูแลและติดตามการทำงานของนายกฯ จะช่วยให้ประเทศเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้ จากนั้น ที่ประชุมได้มีมติว่า ให้ส่งญัตติของนายวันชัย ไปยัง สนช.เพียงญัตติเดียว ด้วยคะแนน 136 : 3 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 จากนั้น ร.อ.ทินพันธุ์ ได้สั่งปิดประชุมในเวลา 18.15 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี