เอกฉันท์!สนช.ผ่าน3วาระรวดแก้พรบ.สงฆ์ คืนพระราชอำนาจ ตั้ง'พระสังฆราช'

เอกฉันท์!สนช.ผ่าน3วาระรวดแก้พรบ.สงฆ์ คืนพระราชอำนาจ ตั้ง'พระสังฆราช'

วันพฤหัสบดี ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 13.06 น.

29 ธ.ค. 59  ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 84/2559 โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานดำเนินการในการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ. คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยพล.ต.อ. พิชิต ควรเดชะคุปต์ กับคณะ โดยมีสาระสำคัญคือ แก้ไขมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 ที่ระบุให้ การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จะต้องผ่านความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม (ม.ส.) ให้เป็น พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่งตั้งเพียงพระองค์เดียว ทั้งนี้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นตัวแทนของทางรัฐบาลเข้าร่วมในการประชุมด้วย 
         
โดยทาง พล.ต.อ.พิชิต ได้ชี้แจงว่า ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สนช. พร้อมด้วยสมาชิกสนช.รวมทั้งหมด 81 คนได้เข้าชื่อเสนอแก้ไข ร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 14 วรรคสอง โดยแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 เพียงประเด็นเดียวในมาตรา 7 คือเรื่องการการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ตามพระราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา สมควรบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้อง เพื่อเป็นการสืบทอดและธำรงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีดังกล่าวโดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ จึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.นี้
          
จากนั้นนายพรเพชรได้แจ้งว่า ตามข้อบังการประชุม ข้อที่ 117 การเสนอร่างกฎหมายของสมาชิกสนช.รัฐบาลจะต้องนำกลับไปพิจารณาภายใน 30 วัน ซึ่งนายออมสิน ได้ลุกขึ้นแจ้งว่า รัฐบาลไม่ขัดจ้องที่ สนช.ดำเนินการขั้นตอนของรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ จากนั้นที่ประชุมเข้าสู่การพิจารณาในวาระหนึ่งทันทีโดยได้เปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความเห็น โดยทั้งหมดต่างสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว
               
โดยนายสมพร เทพสิทธา สมาชิก สนช. อภิปรายว่า ตนขอให้เหตุผลสนับสนุน ประการแรก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาพระสังฆราช โดยพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับใช้มานานรวมกัน 51 ปี จึงถือว่าเป็นพระราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้สถาปนาพระสังฆราช ต่อมาเมื่อมีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ซึ่งเพิ่มเงื่อนไขการสถาปนาพระสังฆราช ต้องเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น ดังนั้น เมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากกฎหมายก็จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ประการที่ 2. ตนเห็นว่าพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงอุปถัมภ์และคุ้มครองทุกศาสนา จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พระมหากษัตริย์จะสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช และ ประการสุดท้าย เมื่อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้บังคับอยู่ และตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ได้มีการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ 3 รูป เพื่อเสนอต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงเลือกสมเด็จพระราชาคณะที่เหมาะสมเป็นสมเด็จพระสังฆราช ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงเลือกสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโส ดังนั้นการที่พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 ได้มาเพิ่มเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์นั้นตนเห็นว่าไม่เป็นการเหมาะสมหรือถูกต้อง จนก่อให้เกิดปัญหาจนถึงบัดนี้ เมื่อกฎหมายมาเหมาะสมหรือถูกต้องก็เป็นหน้าที่ของ สนช.ที่จะทำให้ถูกต้องและเหมาะสม 
               
“ผมในฐานะประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ได้เคยมีหนังสือถึงนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ สมัยที่เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ โดยเสนอความเห็นว่ารัฐบาลน่าจะมีการแก้ไขปัญหาทางตันนี้โดยการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ให้ถูกต้อง ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์ ระบุว่าหากรัฐบาลเป็นผู้เสนอจะทำให้เกิดปัญหากับพระสงฆ์ได้ รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร พร้อมขอให้รอไว้ก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งผมเห็นว่าบัดนี้โอกาสเหมาะสมแล้ว เพราะได้เกิดปัญหาทางตันเกี่ยวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ไม่ควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้เนิ่นนานออกไปอีกแล้ว ซึ่งผมเห็นว่าเมื่อรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งกับคณะสงฆ์และคณะสงฆ์ก็ไม่ยอมที่จะแก้กฎหมายให้ถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของสนช.ที่เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย จะต้องมารับผิดชอบหน้าที่ในการแก้ไขกฎหมายนี้ ซึ่งการแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนไม่ควรเนิ่นช้าต่อไป ผมจึงขอเสนอว่าการแก้ไขเพียงแค่มาตราเดียว ให้พิจารณา 3 วาระรวด ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการแก้ปัญหาทางตันที่เราประสบในขณะนี้”นายสมพร กล่าว

ด้าน นายสมชาย แสวงการ สนช. กล่าวว่า ยืนยันว่าการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เป็นการกีดกันใครคนใดคนหนึ่ง หากเปรียบเทียบก็เหมือนเป็นการแต่งตั้งข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้มีรองอับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสาม ซึ่งจะให้รองอันดับหนึ่งขึ้นเป็นปลัด หรือ ผบ.เหล่าทัพ แต่ต้องมีการพิจารณากันหลายด้าน ทั้งความรู้ความสามารถ เพราะหากพิจารณาเพียงรองอันดับหนึ่ง คนที่เป็นรองอันดับที่หนึ่งก็คงไม่ต้องทำอะไร รอเพียงขึ้นรับตำแหน่งเพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องดูองค์ประกอบในหลาย ๆ ด้าน
     
ขณะที่ นายตวง อันทะไชย สนช. กล่าวว่า ปัญหานี้เกิดมานานแล้ว ซึ่งยังไม่สามารถหาทางออกได้ เราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ หากไม่ยอมแก้ปัญหาก็เท่ากับว่า เราทำลายศาสนาไปในตัว จึงเห็นด้วยกับหลักการที่เสนอขอแก้ไข ของคณะกรรมาธิการศาสนาฯ
         
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 ด้วยคะแนน 184 : 0 งดออกเสียง 5 โดยนายสมชาย ได้เสนอตั้งคระกรรมาธิการฯเต็มสภาฯ โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเพื่อพิจารณาในวาระ 2 ซึ่งการพิจารณาในวาระ 2 ใช้เวลาเพียง 5 นาที โดยไม่มีผู้ใดอภิปราย จากนั้นเข้าสู่การลงมติในวาระ 3 ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 182 : 0 งดออกเสียง 6 เพื่อประกาศพ.ร.บ.สงฆ์ใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ การพิจารณากฎหมายดังกล่าวสนช.ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง 'เจ้าคุณประสาร'ประกาศกร้าว! 'ออมสิน-สนช.'ต้องรับผิดชอบต่อความยุ่งยากหลังผ่านพรบ.สงฆ์

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top