หากย้อนมองดูสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาก็เหมือนกับการย้อนดูหนังม้วนเก่า ต่างฝ่ายต่างออกมาโต้เถียงกันกันไม่จบไม่สิ้น จนกระทั้งทหารเข้ามายึดอำนาจและตั้งตัวเป็นรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สนามทางการเมืองสงบลง... แค่ชั่วคราวเท่านั้น และไฟกำลังจะลุกขึ้นมาอีกครั้งหากมีการเลือกตั้งตามโรดเมปของรัฐบาล คสช. แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องให้นักการเมืองหน้าใหม่เข้ามา แต่เชื่อได้ว่ายากนักที่นักการเมืองหน้าใหม่ หรือกลุ่มคนใหม่ๆ จะขึ้นมานั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่เชื่อเหลือเกินว่าประชาชนเริ่มเอือมระอากับการเมืองไทย เพราะมีแต่กลุ่มการเมืองเดิมๆ พรรคการเมืองเดิมๆ กลุ่มใหม่ก็เป็นคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักทำให้ยากต่อการตัดสินใจ เมื่อยากต่อการตัดสินใจก็กลับมาเลือกนักการเมืองกลุ่มเดิมผลก็ออกมาในลักษณะเดิม
มาฟังเสียงของประชาชนทั่วไปดูว่าจะมีความเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์ทางการเมืองไทย
นายปฏิพัทธ์ ปทุมมณี นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ เปิดเผยกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ ถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันว่า การเมืองไทยยังหนีไม่พ้นกับดักของผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องต้องมาก่อน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกยุคทุกสมัยมักมีข่าวเกี่ยวกับการคอรัปชั่น ไม่มีรัฐบาลในยุคใดเลยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐบาลมือสะอาดอย่างแท้จริง การเมืองไทยไม่ได้ก้าวข้ามไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ตนอยากเห็นความจริงจังของการปรามปรามการทุจริตคอรัปชั่น เพราะการทุจริตเป็นสิ่งที่หยั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน ถ้าหาก คสช.มาเข้ามาปราบปรามและแก้ไขเรื่องนี้ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมได้ ก็น่าจะส่งผลให้ประเทศชาติลดความเสียหายจากการทุจริตได้เป็นอย่างดี
"ปัจจุบันการปรองระหว่างกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองก่อนที่ คสช.จะเข้ามายึดอำนาจนั่น เป็นเพียงแค่การพักยก หรือสงิ่บนิ่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งหากเราได้ติดตามข่าวสารทางการเมืองก็ยังปรากฎการแสดงความคิดเห็น หรือให้ข่าวของบรรดากลุ่มการเมืองที่เห็นต่างอยู่เนืองๆ ซึ่งผมยังมองไม่เห็นหรือรับรู้ได้ว่าทาง คสช.ได้พยายามดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อให้เกิดการสมานฉันท์หรือปรองดอง ระหว่างกลุ่มที่เห็นต่างเท่าที่ควร และในขณะนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการส่งมองอำนาจอธิปไตย และอาจจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่ช้า (หรือไม่) ถ้าหาก คสช.ไม่ดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ หากถึงวันที่ คสช.ออกจากอำนาจ ปัญหาทางการเมืองเดิมๆ อาจจะกลับมาปะทุขึ้นอีก" นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ กล่าว
นายปฏิพัทธ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ว่า ตนซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีความคาดหวังอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการไปในทิศที่เป็นระบอบการปกครองตามครรลองประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในที่นี้หมายความว่าบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่เลือกท่านเข้าไปแทนผู้แทนอย่างแท้จริง สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การพัฒนา ทั้งนี้ ตนไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ขอแค่บรรยากาศเดิมๆ สมัยที่ยังไม่มีความขัดแย้งทางความคิดกลับคืนมาอย่างแท้จริงเท่านั้น
ด้าน ผศ.ชาติณรงค์ วิสุตกุล หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารมวลชนและนวัตกรรมสื่อ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า การเมืองไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ตนเห็นว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป ส่วนภายหลังจากที่ คสช.ยึดอำนาจ ตอนแรกทุกอย่างหยุดนิ่ง แต่ไม่นานทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม ประชาชนไม่พอใจก็ออกมาประท้วง จากนั้นก็มีคนม้าห้าม คนที่เข้ามาห้ามก็เข้ายึดเอาอำนาจไป แรกๆ คนก็สรรเสริญ แต่นานเข้าเริ่มเห็นอะไรหลายๆ อย่าง มันก็กลับมาวังวนแบบเดิมๆ ทั้งนี้ มันก็มีบางเรื่องปราบปรามการคอร์รัปชั่น ที่ คสช. เข้ามาแล้วดีขึ้นบ้าง แต่เป็นบางเรื่อง ไม่ทั้งหมด เหมือนกับการซุกปัญหาไว้ ซึ่งไม่ได้แก้ทั้งหมด
"การเล่นการเมืองในบ้านเราไม่ว่าฝ่ายไหนผิด อีกฝ่ายจะต้องออกมาซ้ำเติมให้ตายกันไปทันที และอีกอย่างเรื่องผลประโยชน์ก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนพรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาล อีกฝ่ายก็จะจ้องจับผิด สลับกันไปอย่างนี้ คิดแต่จะจ้องให้อีกฝ่ายล้มลง ที่เป็นอย่างนี้ เพราะไม่ยอมรับความต่างจึงทำให้เป็นอย่างนี้ถึงปัจจุบัน คนที่แย่ที่สุดก็คือ ประชาชน" นายชาติณรงค์ กล่าว และว่า ทุกวันนี้ตนก็ไม่ได้หวังอะไรกับนักการเมือง การเมืองไทย และระบบราชการ มากนัก เพราะมัน คือเครือข่ายของอำนาจ ยังมีกลิ่นอายของระบบศักดินาเจือบนอยู่
ส่วน รศ.ยุทธพร อิสรชัย รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ให้ความเห็นกับเรื่องดังกล่าวว่า ตนเห็นว่าการเมืองไทยหลังจากที่ คสช. ยึดอำนาจก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ก็ยังเหมือนเดิม แม้กระทั้งการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่บอกจะจริงจัง ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนการที่จะให้การปรองดองเกิดขึ้นนั้น ตนก็เห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เพราะมีการเลือกตั้ง คสช.ออกไป ความขัดแย้งก็กลับมาอีก ตนคิดว่าการมีกลไก หรือธรรมาภิบาล จะทำให้การเมืองของเราดีขึ้นมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่านักการเมืองคนนั้นดีไม่ดี สิ่งสำคัญที่สุด คือ ประชาชนต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกใครมากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี