'ไพบูลย์'ตลบหลังฟ้องอัยการ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ฟัน 54 กปปส.

'ไพบูลย์'ตลบหลังฟ้องอัยการ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ฟัน 54 กปปส.

วันพฤหัสบดี ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561, 14.19 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว. และผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป ได้เดินทางเข้ายื่นฟ้อง นายนันทศักดิ์ พูลสุข อดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งปัจจุบันเป็นอัยการอาวุโส เป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากกรณีมีความเห็นสั่งฟ้องกลุ่ม กปปส. ทั้งหมด 54 คนฐานร่วมกันเป็นกบฏ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ภายหลังรับสำนวนคดีจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 โดยใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนเพียง 6 วันเท่านั้น โดยศาลได้นัดตรวจคำฟ้องว่า ครบถ้วนตามกฎหมายที่จะรับคดีไว้ไตร่สวนมูลฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ วันที่ 10 เมษายนนี้

นายไพบูลย์ กล่าว่า สาเหตุที่มายื่นฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการสั่งคดีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ 1.จำเลยมีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องตนในฐานความผิด “ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไปที่ลงคะแนนเลือกตั้ง” โดยความผิดข้อหาดังกล่าวไม่เคยได้รับแจ้งข้อหาจากพนักงานสอบสวนดีเอสไอมาก่อน ดังนั้นคำสั่งฟ้องดังกล่าวถึงเป็นไปโดยมิชอบ และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ที่กำหนดว่า การพิจารณาฐานความผิดย่อมพิจารณาจากการกระทำที่ผู้ต้องหาทราบ และมีความเห็นไว้เท่านั้นไม่ได้ หากการกระทำที่กล่าวหาเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งคดีในความผิดฐานนั้นด้วย แต่ก่อนสั่งคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการในเรื่องการแจ้งข้อหาให้ครบถ้วนเสียก่อน


2.การที่จำเลยสั่งคดีโดยเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ แต่ยังเพิกเฉยในส่วนที่ควบรวมหรือทับซ้อนกับพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องด้วย คือ ไม่นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 56/2556 และ 73/2556 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า การคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ.. เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่ รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองโดยมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อีกทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน โจทก์ได้ฟ้องดำเนินคดีอาญากับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท(ผ) 101/2559 หมายเลขแดงที่ อท(ผ) 31/2559 ซึ่งศาลมีคำสั่งให้คดีมีมูล เมื่อวันที่ 29 ม.ค.61                ดังนั้นการสั่งคดีเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ของจำเลย  จึงเป็นการสั่งคดีที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 216 วรรคห้า และเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21และฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 69 ซึ่งมีอายุความ  10 ปี

3.จำเลย ได้รับสำนวนการสอบสวนจำนวน 217 แฟ้ม ประกอบด้วยเอกสารจำนวน 57,514 แผ่นโดยมีผู้ถูกกล่าวหา รวม 51 ราย เมื่อวันที่ 1 พ.ค.57 ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลานานนับ 10 วันในการตรวจสำนวนคดี แต่ปรากฎว่าจำเลยได้ใช้เวลาพิจารณาตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวเพียง 6 วัน แล้วเร่งรีบมีคำสั่งฟ้องโจทก์และผู้ต้องหาอื่น รวม 48 ราย ในวันที่ 8 พ.ค.57 โดยมีเหตุผลสืบเนื่องจากที่โจทก์ได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค.57 เป็นเอกฉันท์ว่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับรัฐมนตรีอื่นอีก 9 คน ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อสถานภาพรัฐบาลในขณะนั้น โดยมีอดีตผู้บังคับบัญชาของจำเลย เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลและกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย  จึงเป็นเหตุให้จำเลยบิดผันอำนาจมีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องโจทก์ในวันที่ 8 พ.ค.57 อย่างเร่งรีบรวบรัดผิดปกติไม่เป็นไปตามกระบวนการตามขั้นตอน

โดยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ซี่งศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ไว้ว่า ความอิสระของพนักงานอัยการที่จะวินิจฉัยสั่งคดี ไม่ใช่จะไร้ขอบเขตเสียทีเดียวในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานอัยการทุกคนจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ถ้าการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการคนใดเกินล้ำออกนอกขอบเขต การใช้ดุลพินิจนั้นย่อมเป็นการมิชอบ..." การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ดังนั้นเพื่อรักษาหลักนิติธรรม และเป็นประโยชน์แก่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ในการสั่งคดีของอัยการ จะต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top