วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก "ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน" ได้โพสต์ข้อความว่า อัยการสั่งฟ้องคดี ม.116 “5 นักกิจกรรม-นศ. ปัตตานี” กรณีเสวนาสิทธิในการกำหนดอนาคตตัวเอง-กิจกรรมประชามติจำลอง
วันที่ 20 พ.ย. 2568 ที่ศาลจังหวัดปัตตานี พนักงานอัยการภาค 9 ได้ยื่นฟ้องคดีของนักกิจกรรมและนักศึกษาจำนวน 5 คน ในข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 กรณีถูกกล่าวหาจากกิจกรรมทำประชามติจำลอง ระหว่างงานเสวนาเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี” ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 โดยศาลให้ประกันตัวทั้งห้าคนในระหว่างพิจารณา
แม่ทัพภาค 4 มอบอำนาจกล่าวหา ม.116-ซ่องโจร คดีอยู่ในชั้นอัยการกว่า 1 ปี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าคน ได้แก่ อิรฟาน อูมาน, สารีฟ สะแลมัน, ฮุซเซ็น บือแน, อาเต็ฟ โซ๊ะโก และฮากิม พงตีกอ ถูกฟ้องในข้อหา “ยุยงปลุกปั่นฯ” ตามมาตรา 116, ร่วมกันเป็นซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 และเฉพาะอิรฟาน ยังถูกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ด้วย
สำหรับเหตุที่มาในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 กลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติ Pelajar Bangsa ได้จัดงานเปิดตัวกลุ่ม ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยภายในงานมีการปาฐกถาและเสวนาในหัวข้อเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี”
ในขณะเดียวกัน ระหว่างเสวนายังมีกิจกรรมประชามติจำลอง ทดลองออกเสียงประชามติแสดงความคิดว่า “คุณเห็นด้วยกับ ‘สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง’ หรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย?”
ต่อมา พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ในขณะนั้น ได้มอบอำนาจให้ ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองปัตตานี
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 นักกิจกรรมทั้ง 5 คน ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยนอกจากข้อหาข้างต้น ยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ตามมาตรา 209 ด้วย แต่พบว่าต่อมาไม่ได้มีการสั่งฟ้องข้อหานี้
ต่อมาในวันที่ 3 ต.ค. 2567 พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับอัยการ โดยคดีนี้เป็นคดีในหมวดความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทำให้ตามระเบียบของอัยการในพื้นที่สำนักงานอัยการภาค 9 สำนวนคดีถูกพิจารณาโดย พนักงานอัยการที่ทำคดีด้านความมั่นคงจากสำนักงานอัยการภาค 9 โดยเฉพาะ ไม่ใช่อัยการจังหวัดเหมือนในพื้นที่ภาคอื่น ๆ
หลังคดีอยู่ในชั้นอัยการครบ 1 ปี โดยผู้ต้องหาต้องส่งตัวแทนไปรายงานตัวกับอัยการในแต่ละเดือน พนักงานอัยการภาค 9 ก็ได้มีคำสั่งฟ้องคดี โดยในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ต้องหายังได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมขอให้อัยการชะลอการฟ้องคดีไว้ เนื่องจากตามทางสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมาย พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ในวาระที่สองและสาม ซึ่งคดีนี้น่าจะเข้าข่ายตามกฎหมายดังกล่าวด้วย แต่กฎหมายยังต้องรอการพิจารณาในชั้นวุฒิสภาต่อไป
ต่อมาในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ทางอัยการยืนยันการสั่งฟ้องคดีนี้ตามนัดในวันที่ 20 พ.ย. 2568
อัยการฟ้องเป็น 2 กระทง กล่าวหาการกระทำขัดต่อ ม.1 ของรัฐธรรมนูญ
สุภัทรชัย เมียนเกิด พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 ได้เป็นผู้เรียงฟ้องในคดีนี้ โดยฟ้องใน 2 กระทง โดยสรุปว่า
1. กระทงความผิดข้อหาเรื่องร่วมกันเป็นซ่องโจร โดยกล่าวหาว่าระหว่างวันที่ 31 พ.ค. 2566 ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2566 จำเลยทั้งห้าได้สมคบร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อจัดกิจกรรมโดยออกประกาศเชิญชวนทางเฟซบุ๊กของขบวนนักศึกษาแห่งชาติ กำหนดจัดเสวนาในหัวข้อ สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี” ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในวันที่ 7 มิ.ย. 2566 เวลา 10.00-16.00 น. โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา 5 คน โดยมีอาเต๊ฟ และฮากิม จำเลยที่ 4-5 ร่วมเสวนาด้วย
ข้อกล่าวหาระบุว่ากิจกรรมได้มีการให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วม และถ่ายทอดการเสวนาผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ ในลักษณะชี้นำให้ผู้เข้าร่วมเข้าคูหาลงมติแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และการออกเสียงทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย เป็นการชักชวน จูงใจ หรือชี้นำให้ประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวหรือขัดแย้งกันในเรื่องแนวความคิดและความเป็นชาติพันธุ์ ให้เห็นพ้องด้วยกับพวกตน
เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 1 และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โดยความผิดที่จำเลยทั้งห้าสมคบกันนั้น เป็นความผิดที่กำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
2. กระทงความผิดข้อหาตามมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กล่าวหาในกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 เช่นเดียวกัน โดยมีการบรรยายถึงรายละเอียดกำหนดการ การปาฐกกถา และเนื้อหาการเสวนาดังกล่าวโดยละเอียด ซึ่งมีฮุซเซ็น จำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินรายการ และจำเลยที่ 4-5 ร่วมเสวนา
ข้อกล่าวหาบรรยายถึงบทบาทของสารีฟ จำเลยที่ 2 ว่าเป็นผู้อ่านบทกวีเป็นภาษามลายู ในช่วงก่อนเปิดงาน และอิรฟาน จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานขบวนศึกษาแห่งชาติ (Pelajar Bangsa) ได้อ่านแถลงการณ์ในตอนท้าย พร้อมกับจัดให้มีการถ่ายทอดสดและเผยแพร่การเสวนาผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก
ข้อกล่าวหาบรรยายในลักษณะเดียวกันกับกระทงแรก แต่กล่าวหาว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา 116 (2) และ (3) และการเผยแพร่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ของจำเลยที่ 1 ยังเป็นความผิดในการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ต่อมา หลังรับทราบฟ้องของอัยการ และจำเลยทั้งห้าถูกควบคุมตัวไว้ ทนายความได้ยื่นประกันตัวจำเลย และต่อมาในช่วงบ่าย ศาลให้ประกันตัวโดยให้วางหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
ศาลพร้อมกำหนดวันนัดคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การ และตรวจพยานหลักฐานต่อไป ในวันที่ 12 ม.ค. 2569 เวลา 13.30 น.
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายน 2568 ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีร้องเรียนว่า นักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ (SLAPP) โดยเป็นการตรวจสอบการร้องเรียนจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายกรณี โดยเฉพาะกรณีการดำเนินคดีตามมาตรา 116 ต่อนักกิจกรรม รวมทั้งในคดีประชามติจำลองนี้
รายงานการตรวจสอบฉบับนี้ โดยภาพรวม กสม. ให้ความเห็นว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ และเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการยับยั้งการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนักกิจกรรมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จนเกินสมควรแก่เหตุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี