27 มิ.ย.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะให้มีรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการด้วยก็ได้
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
กค. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ได้กำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างมี 3 วิธี คือ (1) วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป (2) วิธีคัดเลือก และ (3) วิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งวิธีเฉพาะเจาะจงดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้กับการจัดซื้อจัดจ้างหลายกรณี เช่น กรณีใช้ทั้งวิธีการประกาศเชิญชวนทั่วไปและวิธีการคัดเลือก หรือใช้วิธีการคัดเลือกแล้วแต่ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอ หรือข้อเสนอนั้นไม่ได้รับการคัดเลือก หรือกรณีเป็นพัสดุที่ขายทอดตลาดโดยหน่วยงานของรัฐ หรือกรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และได้กำหนดให้ประเภทของที่ปรึกษาที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. กฎกระทรวงกำหนดพัสดุ ที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกและวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 ในหมวด 4 พัสดุส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษา มีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุน ได้พัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้กับบุคลากรของหน่วยงานของรัฐ อันเป็นการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของการจัดการศึกษา อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างงานวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษาของสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ และสถาบันพระปกเกล้า เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสมและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน สมควรเพิ่มเติมกรณีการให้พัสดุส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษา กรณีงานจ้างบริการทางวิชาการและการวิจัยและพัฒนาของสถาบันดังกล่าว เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และสมควรกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุกรณีดังกล่าวกระทำได้โดยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยออกเป็นกฎกระทรวง ทั้งนี้ ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) (ซ) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้พัสดุส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือการให้บริการทางการศึกษา ดังต่อไปนี้ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
(1) งานจ้างบริการทางวิชาการ และการวิจัยและพัฒนาของสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ
(2) งานจ้างบริการทางวิชาการ และการวิจัยและพัฒนาของสถาบันพระปกเกล้า
2. ให้หน่วยงานรัฐจัดจ้างพัสดุตามข้อ 1. ในขอบเขตภารกิจและต้องดำเนินการโดยบุคลากรของหน่วยงานรัฐดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมทางด้านวิชาการและการวิจัยอย่างแท้จริง โดยวิธีเฉพาะเจาะจง หรือหากหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หน่วยงานของรัฐจะใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือวิธีคัดเลือกก็ได้
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
คค. เสนอว่า
1. เนื่องด้วยมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดเอาเรือเก็บสินค้าหรือเรือชนิดใด ๆ ที่คล้ายเรือเก็บสินค้าซึ่งใช้เป็นเรือทุ่นหรือสำหรับบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ เว้นไว้แต่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าหรือจากเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ และโดยต้องถือและกระทำตามข้อบังคับกำกับอนุญาตและต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่กรมเจ้าท่า หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่นั้นจะกำหนด ประกอบกับมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2481 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2510 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมอันเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
2. โดยที่ปัจจุบันการขนส่งสินค้าทางน้ำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำมีรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเรือเก็บสินค้า หรือเรือชนิดใด ๆ ที่คล้ายเรือเก็บสินค้า ซึ่งใช้เป็นเรือทุ่นหรือเรือสำหรับบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ได้มีการใช้พื้นที่ดังกล่าวในการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำเพื่อรอขนถ่ายสินค้า หรือจอดเรือในการอื่น ซึ่งบางกรณีมีการจอดเรือไว้เป็นเวลานาน หรือจอดเรือทิ้งไว้และไม่มีการดำเนินกิจการใด ๆ มากขึ้น รวมทั้งเรือที่มีการจดทะเบียนเรือเป็นประเภทเรือลำน้ำที่ไม่ใช่เรือกล ประเภทการใช้อู่ลอย หรือเรือเดินทะเลที่ไม่ใช่เรือกล ประเภทการใช้กิจการพิเศษ (อู่ลอย) ลักษณะมีการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว ของอู่ลอยบริเวณริมฝั่งกับบริเวณแม่น้ำหรือทะเลในการรับ ส่งเรือ จมอู่ลอย ยกอู่ลอย เพื่อรองรับเรือเข้ามาอยู่ในอู่ลอยก่อนการประกอบกิจการด้านการซ่อมแซม ต่อเติม ต่อสร้างเรือโดยกระทำกิจการในบริเวณหน้าท่าเทียบเรือ หรือริมฝั่งบริเวณหน้าที่ดินของผู้ประกอบกิจการ ทำให้การกำกับดูแลตามภารกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งการดำเนินกิจกรรมทางน้ำดังกล่าวมีกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือกำหนดให้ผู้ประกอบการกิจการนั้นหรือเจ้าของที่นำเรือมาจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะทางน้ำต้องได้รับอนุญาต และเสียค่าธรรมเนียมการเข้าใช้ประโยชน์ต่อรัฐตามที่กำหนด
3. ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับเรือเก็บสินค้า หรือเรือชนิดใด ๆ ที่คล้ายเรือเก็บสินค้าซึ่งใช้เป็นเรือทุ่นหรือสำหรับบรรจุสิ่งของต่าง ๆ หรือเรือประเภทการใช้เป็นอู่ลอยในการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ เพื่อให้เหมาะสมตามสภาวการณ์ และทำให้ผู้ประกอบกิจการมีความเชื่อมั่นในการเดินเรือมากขึ้น อีกทั้งกรมเจ้าท่าสามารถควบคุมกำกับดูแล บริหารจัดการและจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการใช้พื้นที่สาธารณะทางน้ำเป็นรายได้ของรัฐด้วย
4. กรมเจ้าท่าจึงได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจอด ทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ พ.ศ. .... โดยได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจากประชาชน หน่วยงานและผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้เรือเก็บสินค้า หรือเรือชนิดใด ๆ ที่คล้ายเรือเก็บสินค้าซึ่งใช้เป็นเรือทุ่น หรือสำหรับบรรจุสิ่งของต่าง ๆ หรือเรือที่มีประเภทการใช้อู่ลอยที่ได้รับอนุญาตทำการจอดทอดสมออยู่เป็นการประจำในน่านน้ำ ลำแม่น้ำ หรือทำเลทอดสมอจอดเรือตำบลใด ๆ ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามขนาดของเรือ ตันกรอสละ 10 สตางค์ต่อวัน
5. เรื่อง ร่างระเบียบว่าด้วยการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและความเห็นและข้อเสนอแนะของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ยกเลิกภารกิจของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศ ปี 2560 – 2561 ของส่วนราชการ ทุกวันที่ 11 ของทุกเดือน และให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ เมื่อร่างระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ
3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รับความเห็นของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดบทนิยาม คำว่า “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ” “คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ” “กรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ” “คณะกรรมการปฏิรูป” “กรรมการปฏิรูป”“ที่ประชุมร่วม”“สำนักงาน”และ “ระบบ”
2. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผล การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ โดยต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักการการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และการไม่สร้างภาระแก่หน่วยงานของรัฐมากเกินความจำเป็น ซึ่ง สศช. ต้องจัดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นช่องทางในการรายงานผลการดำเนินการ ต่อ สศช. และเป็นช่องทางสำหรับ สศช. ในการรายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และที่ประชุมร่วม
3. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นรายไตรมาสภายในระยะเวลาที่ สศช. กำหนด รายงานผลการดำเนินการให้จัดทำตามแบบที่ สศช. กำหนด ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่รายงานผลการดำเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ สศช. กำหนดหรือไม่ทำตามแบบที่ สศช. กำหนด ให้ สศช. รวบรวมข้อมูลที่ได้รับจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และรายงานให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทราบผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ สศช. จัดให้มีขึ้นต่อไป
4. กำหนดให้ สศช. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการประจำปีตามยุทธศาสตร์ชาติเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าองค์กรในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และรัฐสภาทราบภายใน 90 วันนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาที่ สศช. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรายงานผลการดำเนินการตามข้อ 3 ซึ่งรายงานสรุปผลดังกล่าวให้เป็นไปตามแบบที่ สศช. กำหนด
5. กำหนดให้ สศช. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการประจำปีตามแผนการปฏิรูปประเทศเสนอต่อที่ประชุมร่วมเพื่อให้ความเห็นชอบ และให้ สศช. เสนอรายงานต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าองค์กรในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และรัฐสภาทราบภายใน 90 วันนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาที่ สศช. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรายงานผลการดำเนินการตามข้อ 3
6. กำหนดให้ สศช. เผยแพร่รายงานผลการดำเนินการที่ได้รับจากหน่วยงานของรัฐรายงานสรุปผลการดำเนินการประจำปีตามข้อ 4 และข้อ 5 ให้ประชาชนทราบทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ สศช. โดยเร็ว
เศรษฐกิจ-สังคม
6. เรื่อง การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย)
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย) แล้วมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เสนอ จำนวน 2 กองทุน ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการขอจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
2. เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนฯ ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การขอจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของ สคร.
สคร. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง (กค.) ให้เป็นหน่วยงานหลักในการปรับปรุงพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556) เนื่องจากพบว่าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจประสบปัญหาในการดำเนินการตามกฎหมาย สคร. จึงนำเสนอหลักการในการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวเพื่อส่งเสริมให้กระบวนการในการเข้าร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนที่เหมาะสม รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้เอกชนร่วมลุงทุนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยจัดให้มีกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ในการว่าจ้างที่ปรึกษาของหน่วยงานเจ้าของโครงการ และ สคร. ในการจัดทำโครงการร่วมลงทุน รวมถึงการให้มาตรการสนับสนุนโครงการร่วมลงทุน ซึ่งจะทำให้โครงการโครงสร้างพื้นฐานเชิงสังคมที่มีผลตอบแทนไม่ดึงดูดนักลงทุนเอกชนเพียงพอสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุนดังกล่าว จะมีผลเป็นการยุบเลิกกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556
2. การขอจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยของ สป.วธ.
คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนมีความเห็นว่า เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันภารกิจการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานอยู่แล้ว หากกรณีมีความจำเป็นก็สามารถดำเนินการของบประมาณเพิ่มเติมได้ (กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลัก) ประกอบกับ การส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเป็นไปตามนโยบายของรัฐในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ดังกล่าว
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุนดังกล่าว เป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ รวมถึงส่งเสริมให้มีมาตรการการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลเป็นการยุบเลิกกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
7. เรื่อง โครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็นโดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (District Cooling System and Power Plant Company Limited : DCAP) ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite Airport Terminal – 1 : SAT – 1) และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (Gas Insulated Switchgear : GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็นโดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ในวงเงินการลงทุนรวม 990 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
ทั้งนี้ ให้ พน. โดยบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด ปรับปรุงแผนการเบิกถอนเงินกู้ให้สอดคล้องตามข้อเท็จจริง และให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำเย็นได้ทันตามความต้องการใช้น้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT – 1) ตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคม และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ตามหนังสือสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1101/1694 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2561) ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำเย็นที่เพิ่มขึ้นของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจากการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น DCAP จึงได้เสนอโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT - 1) และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เองซึ่งในคราวประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ DCAP ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2560 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการฯ ด้วยแล้ว
8. เรื่อง รายงานกรณีมีผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอรายงานกรณีมีผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ดังนี้
กระทรวงมหาดไทยขอรายงานกรณีมีผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ดังนี้
1. สถานการณ์
1.1 เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 นักฟุตบอลเยาวชน ทีม "หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย" (ช่วงอายุ 11 – 16 ปี) จำนวน 13 คน ประกอบด้วย (1) นายเอกพล จันทะวงษ์ ผู้ฝึกสอน อายุ 25 ปี (2) ด.ช.อดุลย์ สามออน อายุ 14 ปี โรงเรียนบ้านเวียงพาน (3) ด.ช.ประจักษ์ สุธรรม อายุ 14 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (4) ด.ช.ณัฐวุฒิ ทาคำทราย อายุ 14 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (5) ด.ช.ภานุมาศ แสงดี อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (6) นายพีรพัฒน์ สมเพียงใจ อายุ 16 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (7) ด.ช.สมพงษ์
ใจวงค์ อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (8) ด.ช.ดวงเพชร พรมเทพ อายุ 13 ปี โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (9) ด.ช.พิพัฒน์ โพธิ อายุ 15 ปี โรงเรียนบ้านสันทราย (10) ด.ช.ชนินทร์ วิบูลย์รุ่งเรืองอายุ 11 ปี โรงเรียนอนุบาลแม่สาย (11) ด.ช.เอกรัตน์ วงค์สุขจันทร์ อายุ 14 ปี โรงเรียนดรุณราษฎร์วิทยา (12) นายพรชัย คำหลวง อายุ 16 ปี โรงเรียนป่ายาง (13) ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม อายุ 13 ปี โรงเรียนบ้านป่าเหมือด
โดยทั้ง 13 คน ได้ทำการฝึกซ้อมฟุตบอล ณ สนามกีฬาบ้านจ้อง สนามกีฬากลางตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
1.2 หลังจากทำการฝึกซ้อมเสร็จ ได้พากันเดินทางโดยรถจักรยาน จำนวน 11 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ไปถึงเขตวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณเวลา 15.00 น.
1.3 เจ้าหน้าที่วนอุทยานฯ ได้เดินตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อเตรียมปิดบริการ จึงพบรถจักรยานยนต์และรถจักรยานจอดอยู่บริเวณปากถ้ำ และจัดทีมระดมค้นหาชุดที่ 1 (จนท.อุทยาน 3 นาย) แต่ไม่พบผู้สูญหาย จึงได้ประสานองค์กร/มูลนิธิสาธารณกุศล อาทิ มูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนหน่วยทหาร อาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานอื่น ๆ ลงพื้นที่ปฏิบัติการ ค้นหาภายในถ้ำหลวงนางนอน ตั้งแต่เวลา 18.00 - 04.00 น. แต่ไม่พบผู้สูญหาย
2. การดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
2.1 วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2561 เวลา 02.30 น. นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สาย สถานีตำรวจภูธรแม่สาย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้ดูแลความปลอดภัยขณะปฏิบัติงานและเร่งรัดการค้นหาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ระดับน้ำบริเวณถ้ำได้เพิ่มสูงขึ้นจนปิดทางเข้าออกบางส่วน และกระแสน้ำไหลรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้นหาจึงยุติการค้นหา ในเวลา 04.00 น. และเริ่มการค้นหาอีกครั้งเวลา 09.00 น.
- เวลา 09.00 น. เริ่มปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหาย โดยได้จัดทีมค้นหาออกเป็น 15 ชุด
มีภารกิจหลัก ได้แก่
1. การค้นหาและให้ความช่วยเหลือผู้สูญหาย
2. ปฏิบัติการลำเลียงน้ำและอาหารส่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายในถ้ำ
3. เฝ้าฟังวิทยุและบูรณาการวิทยุสื่อสาร
4. ประจำจุดคัดกรอง จนท.ผู้ปฏิบัติงานภายในถ้ำ
5. วัดปริมาณออกซิเจนภายในถ้ำ
6. บูรณาการเรื่องไฟฟ้าส่องสว่าง
และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย จัดเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญ-สถานการณ์วิกฤต (ERT) 7 คน พนักงานขับฯ 6 คน ผู้ประสานงาน 3 นาย เครื่องจักรกล ยานพาหนะ เครื่องมือและอุปกรณ์ ดังนี้ 1. รถไฟฟ้าส่องสว่างขนาด 200KVA จำนวน 1 คัน 2. รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว จำนวน 1 คัน 3. รถดับเพลิงในอาคารควบคุมระยะไกล ULF จำนวน 1 คัน 4. รถบรรทุกเล็ก จำนวน 2 คัน 5. พัดลมระบายอากาศชนิดไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง 6. พัดลมระบายอากาศชนิดเครื่องยนต์ จำนวน 1 เครื่อง 7. เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ
จำนวน 1 เครื่อง 8. ไฟบอลลูนไลท์ จำนวน 2 ชุด
- เวลา 10.35 น. จังหวัดเชียงรายได้จัดชุดค้นหาผู้สูญหายจำนวน 7 ชุด ดังนี้
(1) ชุดที่ 1 ประกอบด้วย Mr. Vernon Unsworth (ผู้ที่เคยสำรวจถ้ำหลวง) และทีมงานรวม 3 คน พร้อมด้วยทหาร 5 นาย และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร 1 คน
(2) ชุดที่ 2 ประกอบด้วย หน่วยทหาร 5 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ
(3) ชุดที่ 3 ประกอบด้วย สมาชิก อส. พร้อมด้วยผู้นำทาง (ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน) และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร
(4) ชุดที่ 4 ประกอบด้วย สมาชิก อส. พร้อมด้วยผู้นำทาง และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร
(5) ชุดที่ 5 ประกอบด้วย เทศบาลตำบลแม่สาย (ทีมนายพรชัย ประดิษฐ์ค่าย) พร้อมด้วยผู้นำทาง และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร
(6) ชุดที่ 6 ประกอบด้วย เทศบาลตำบลแม่สาย (ทีมนายมรกต ไชยมูลมั่ง) พร้อมด้วยผู้นำทาง และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร
(7) ชุดที่ 7 ประกอบด้วย เทศบาลตำบลแม่สาย (ทีมนายอาทิตย์ วิระค้า) พร้อมด้วยผู้นำทาง และเจ้าหน้าที่ประจำวิทยุสื่อสาร
- หน่วยงานที่สนับสนุนปฏิบัติการค้นหา ประกอบด้วย หน่วยงานทหารหน่วยงานตำรวจ ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สายศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงรายวนอุทยานถ้ำหลวงฯ (สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) มูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัยอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลตำบลแม่สาย กำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ทีมงาน Mr.Vernon Unsworth และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การให้ความช่วยเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยการจัดเครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำบริเวณทางเข้าถ้ำชั้นในให้ลดระดับลงเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทีมค้นหา และจัดชุดปฏิบัติการค้นหาเข้าไปในถ้ำพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่วิทยุสื่อสาร และจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนก็ต่อเมื่อทีมค้นหาชุดที่ส่งไปก่อนหน้ากลับออกมา รายละเอียด ดังนี้
(1) เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ชุดค้นหาผู้สูญหายชุดที่ 1 นำโดย Mr.Vernon Unsworthแจ้งว่าพบร่องรอยของผู้สูญหาย และการเข้าถึงบริเวณต้องสงสัยว่าผู้สูญหายไปพักอยู่จะต้องใช้ชุดประดาน้ำและมีความจำเป็นต้องใช้สายนำสัญญาณเพื่อช่วยสื่อสารในถ้ำ ความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงปรับวิธีการค้นหาโดยใช้ชุดประดาน้ำลำเลียงน้ำและอาหาร รวมถึงสิ่งของจำเป็นนำส่งผู้ประสบภัยเพื่อประทังชีวิตก่อน และให้หน่วยงานที่มีความพร้อมสนับสนุนสายสัญญาณเร่งจัดหาสายนำสัญญาณโดยเร็ว เพื่อดำรงการสื่อสารตลอดการค้นหา
(2) ข้อสรุปจากการประชุมหารือหลังจากที่ Mr.Vernon Unsworth ออกมาจากถ้ำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ปลัดอำเภอแม่สาย เป็นผู้รับผิดชอบการบัญชาการเหตุการณ์ และมอบรองปลัดเทศบาลนครเชียงรายเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการค้นหา
(3) เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. ชุดประดาน้ำจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่อาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฐานอัมรินทร์ใต้ และเทศบาลนครเชียงราย รวมทั้งสิ้นมากกว่า 50 นาย ประชุมวางแผนเพื่อจะเข้าปฏิบัติการฯ
(4) เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ชุดประดาน้ำจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่อาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฐานอัมรินทร์ใต้ และเทศบาลนครเชียงรายเริ่มปฏิบัติการลำเลียงน้ำและอาหาร
(5) เมื่อเวลา 16.26 น. ชุดประดาน้ำชุดที่ 1 ประกอบด้วย ชุดประดาน้ำจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (จำนวน 2 คน) อาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฐานอัมรินทร์ใต้ (จำนวน 2 คน) และทีม Mr.Vernon Unsworth ผู้นำทาง จำนวน 2 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 7 คน เริ่มปฏิบัติการลำเลียงน้ำและอาหารฯ
(6) ตำรวจตระเวนชายแดน 327 สนับสนุนกำลังพล และสุนัขดมกลิ่น (จำนวน 2 นาย) โดยถอนกำลังออกไปเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ไม่สามารถใช้สุนัขปฏิบัติการร่วมได้เนื่องจากสภาพอากาศภายในถ้ำไม่เอื้ออำนวย
(7) เมื่อเวลา 19.20 น. ชุดประดาน้ำชุดที่ 1 ยุติการค้นหา เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดี มองเห็นได้เพียงในระยะ 1 ฝ่ามือเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นช่องทางที่สามารถทะลุเข้าไปยังจุดที่คาดว่าผู้สูญหายจะไปอาศัยอยู่ และออกซิเจนในถังเหลือน้อยจึงตัดสินใจถอนกำลัง
(8) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประสานขอรับการสนับสนุนชุดประดาน้ำ จากหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย (ไม่ทราบจำนวน) อยู่ระหว่างเคลื่อนย้ายกำลังพล
(9) มณฑลทหารบกที่ 37 ประสานแจ้งว่า จะนำกำลังพลร่วมปฏิบัติการค้นหา ในวันที่
25 มิถุนายน 2561 (ยังไม่ได้รับแจ้งยอดกำลังพลและเวลา)
2.2 วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 02.30 น. ผบ.กรม.รพศ1 พร้อมด้วย ข้าราชการกรมรบพิเศษที่ 1 รวมจำนวน 17 นาย นำกำลังและอุปกรณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่อำเภอแม่สาย
จ.เชียงราย
- เวลา 17.00 น. สรุปการดำเนินการ ดังนี้
- หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (หน่วยซีล) รวม 17 นาย จัดทีมชุดค้นหา และสามารถเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ (ผ่านจุดที่น้ำสูงไปได้แล้ว) เข้าไปได้แล้วประมาณ 2 กิโลเมตร จากระยะทาง 4 กิโลเมตร พบร่องรอยนิ้วมือและการเขียนชื่อ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่
- ปัญหาอุปสรรค คือ มีน้ำท่วมทางในถ้ำเป็นระยะ มีความลึกตั้งแต่ระดับเอวถึงระดับศีรษะ การเข้าไปจึงต้องดำน้ำบางช่วงสลับเดิน ซึ่งหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ตั้งข้อสังเกตว่าหากพบเด็ก ต้องวางแผนที่จะลำเลียงออกมาอีกครั้ง เพราะน้ำท่วมหลายช่วงยากจะให้เด็กดำน้ำออกมา
- หน่วยทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 ได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่วนอุทยานฯ เคยเห็นโพรงอยู่เหนือถ้ำเมื่อนานมาแล้ว และทางวนอุทยานเห็นว่ามีความเป็นไปได้ จึงดำเนินการสำรวจ แต่ยังไม่พบโพรงดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งหากมีจริง จะมีทางเลือกเพิ่มคือการโรยตัว นอกจากนี้ยังได้จัดกำลังพลทำฝายชะลอน้ำ เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าถ้ำอย่างรวดเร็ว
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เดินสายไฟและสายสัญญาณการสื่อสารให้มีความเสถียร
- หน่วยกู้ภัยเอกชน จัดทีมลำเลียงไว้ 6 ทีม เพื่อกรณีสามารถช่วยเหลือเด็กแล้วจะสามารถลำเลียงเด็กออกมาปฐมพยาบาล และเตรียมส่งโรงพยาบาลทันที
- เวลา 18.00 น. ทีมปฏิบัติการค้นหาฯ ได้ประชุมปรับแผนการค้นหา และยังไม่พบ
กลุ่มผู้สูญหาย
2.3 วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561 สรุปการดำเนินการ ดังนี้
- พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เข้าประชุมรับทราบสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแจ้งว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการความช่วยเหลือให้สามารถนำเด็กออกมาโดยเร็วที่สุด และหากพบตัวแล้วต้องรีบส่งทีมเข้าไปดูแล โดยขณะนี้อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยเหลือถือว่ามีความเพียงพอแล้วจึงต้องบูรณาการไม่ให้เกิดความสับสนในการเข้าไปช่วยเหลือ และหากมีการสูบน้ำออกจากถ้ำได้เชื่อว่าการเข้าไปช่วยเหลือจะทำได้ง่ายขึ้น จากนั้นได้เดินทางไปให้กำลังใจครอบครัวของเด็กและโค้ชทั้ง 13 คน
- ปฏิบัติการพร่องน้ำออกจากถ้ำ เนื่องจากมีฝนตกในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเวลา 21.00 น. ของวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ระดับน้ำในถ้ำสูงขึ้น จึงได้เร่งปฏิบัติการสูบน้ำบริเวณปากทางเข้าถ้ำโดยติดตั้งเครื่องไดโว่สูบน้ำออกจากถ้ำ และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย ส่งรถบรรทุกเครื่องสูบน้ำท่วมขัง (อัตราสูบ 50,000 ลิตร/นาที) จำนวน 2 คัน และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 10 ลำปาง สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจำนวน 3 คัน นอกจากนี้ กรมชลประทานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ 1 เครื่อง ดำเนินการสูบน้ำออกจากหนองน้ำพุ เพื่อช่วยระบายน้ำออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน และส่งทีมจากสำนักเครื่องจักรกล นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 10 เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำด้วยไฟฟ้าขนาด 8 นิ้ว 1 เครื่อง ขนาด 10 นิ้ว 8 เครื่อง และเครื่องสูบน้ำด้วยเครื่องยนต์ (ดีเซล) ขนาด 12 นิ้ว อีก 1 เครื่อง สนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับใช้สูบน้ำออกจากหนองเพื่อช่วยระบายน้ำออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน
- การสนับสนุนระบบสื่อสาร บริษัทเอไอเอส ได้ส่งเจ้าหน้าที่วิศวกร และรถสถานีฐานเคลื่อนที่ พร้อมทำการติดตั้งเครือข่ายให้ระบบสื่อสารในบริเวณดังกล่าวเป็นไปอย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น และได้ทำการปรับจูนสัญญาณจากสถานีฐานใกล้เคียงด้วยการหันจานสายอากาศ (antenna) ไปยังบริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน และดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ทวนสัญญาณ (repeater) เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งาน และได้เดินสายออพติกอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เข้าไปที่พื้นที่เพื่อเปิดสัญญาณWiFiช่วยรองรับการใช้งานฐานข้อมูลและการสื่อสาร
- เจ้าหน้าที่ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า-
พระนครเหนือ จำนวน 13 คน และสนับสนุนหุ่นยนต์ดำน้ำ (ROV) จำนวน 1 เครื่อง และโดรนติดกล้องตรวจจับความร้อนสำหรับบินสำรวจ จำนวน 2 ลำ
- โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย จัดทีมแพทย์พยาบาล สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และพูดคุยให้กำลังใจ เพื่อลดความเครียดแก่ครอบครัวของผู้ประสบภัย
- ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ตั้งจุดคัดกรองรถเข้าถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนบริเวณทางเข้าวัดบ้านจ้อง หมู่ที่ 9 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และขอความร่วมมือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวก
ต่างประเทศ
9. เรื่อง ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย – ปากีสถาน และ ไทย – ตุรกี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) (เพิ่มเติม) ไทย – ปากีสถาน และ FTA (เพิ่มเติม) ไทย – ตุรกี ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำ FTAไทย – ปากีสถาน และไทย – ตุรกี ต่อไป
สาระสำคัญของร่างกรอบการเจรจา มีดังนี้
1. ร่างกรอบการเจรจา FTA (เพิ่มเติม) ไทย – ปากีสถาน และไทย – ตุรกีมีเป้าหมายการเจรจา ได้แก่ 1) เจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ 2) คำนึงถึงระดับการพัฒนา หลักการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และความพร้อมของกฎหมายภายใน และ 3) ให้ความสำคัญกับภาคการผลิตของไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อให้มีระยะเวลาในการปรับตัวและสามารถจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ร่างกรอบการเจรจา FTA (เพิ่มเติม) ดังกล่าวครอบคลุม 11 ประเด็น ได้แก่ 1. การค้าบริการ
2. การลงทุน 3. ทรัพย์สินทางปัญญา 4. การแข่งขัน 5. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 7. สิ่งแวดล้อม 8. แรงงาน 9. ความร่วมมือ 10. การคุ้มครองผู้บริโภค และ 11. เรื่องอื่น ๆ
ทั้งนี้ ปากีสถานเสนอเป็นเจ้าภาพการประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย – ปากีสถานครั้งที่ 10 ภายในปี 2561 และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจาจัดทำ FTA ไทย – ตุรกี ครั้งที่ 4 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561
10. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
1. ให้กระทรวงกลาโหม (กห.) จัดทำความตกลงระหว่าง กห. กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา
2. ให้เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ ดังกล่าว (กำหนดการลงนามวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงวอชิงตันดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา)
3. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ให้ กห. พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ในกรณีมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบหรือมีมติอนุมัติไปแล้วให้กระทรวงกลาโหมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
สาระสำคัญของร่างความตกลงระหว่าง กห. กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์และขอบเขต ดังนี้
- เป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง กห. ทั้งสองประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาที่อยู่ในความสนใจของทั้งสองฝ่ายในลักษณะต่างตอบแทนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันในเชิงมูลค่า คุณภาพ และปริมาณ
- กำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ โดยการจัดทำภาคผนวกการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Information Exchange Annex : IEA) ในแต่ละเรื่อง/โครงการที่จะจัดทำขึ้นในอนาคต เพื่อกำหนดขอบเขตของการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในรายละเอียดให้สอดคล้องกับร่างความตกลงฯ
- ความตกลงฉบับนี้อนุญาตให้ทำการแลกเปลี่ยนด้านการวิจัยและพัฒนาซึ่งเกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามข้อก่อนหน้า และตามข้อจำกัดของแต่ละ IEA ทั้งนี้ ไม่อนุญาตให้ทำการแลกเปลี่ยนอาวุธ, เซ็นเซอร์ หรือระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรืออาวุธที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเซ็นเซอร์ หรือเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าว
- จะไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการผลิต (Production Information) และบทความด้านการป้องกันประเทศหรือข้อมูลของกองทัพภายใต้ความตกลงนี้
11. เรื่อง ร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา
2. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างตราสารดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างตราสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้ วท. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
3. มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
สาระสำคัญของร่างตราสารต่ออายุดังกล่าวเป็นการต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการ (คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบความตกลงฯ แล้วเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556) ไปอีก 5 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของความตกลงฯ ที่ครอบคลุมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วัสดุศาสตร์ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ สาธารณสุข ชีววิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยและองค์กรทุกภาคส่วนในสาขาที่คู่ภาคีเห็นชอบว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากนี้ ร่างตราสารฯ ยังอ้างถึงผลการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 7 – 8 มีนาคม 2559 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งสองฝ่ายแสดงความตั้งใจในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในสาขาหลักต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ สาขาพลังงาน สุขภาพ น้ำ การศึกษาสะเต็ม (STEM Education) และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการต่ออายุความตกลงฯ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป และจะมีผลบังคับใช้ ณ วันที่ได้ลงนามครบถ้วน
12. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางบริหารในเรื่องทางศุลกากร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ว่าด้วย ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางบริหารในเรื่องทางศุลกากรซึ่งจะมีการลงนามระหว่างการประชุมประจำปีขององค์การศุลกากรโลก ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ในระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2561
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามร่างความตกลงดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านบริหาร การประเมินอากรศุลกากร การบังคับใช้กฎหมายศุลกากรและการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางศุลกากรที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยเป็นการกำหนดขอบเขตความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านศุลกากร เช่น แนวทาง การบังคับใช้กฎหมายศุลกากร การกระทำความผิดทางศุลกากร และข้อมูลการนำเข้า – ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศคู่ภาคี ซึ่งร่างความตกลงดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการประเมินราคาศุลกากร การตรวจสอบแหล่งกำเนิดของสินค้า และการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางศุลกากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การจัดทำความตกลงด้านศุลกากรดังกล่าวเป็นการทำความตกลงในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลด้านศุลกากรเป็นประเทศที่สองหลังจากที่ประเทศไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลมาเลเซีย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561) โดยความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียและร่างความตกลงฯ มีขอบเขตความร่วมมือในลักษณะเดียวกัน
13. เรื่อง ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วมตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรโดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบต่อท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steering Committee : JSC) ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ทั้งนี้ หากในการประชุมดังกล่าว มีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากท่าทีไทยที่ พณ. เสนอในครั้งนี้และจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับบาห์เรน กระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาดำเนินการภายใต้ขอบเขตของสาขาความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ อย่างเคร่งครัด และเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า
1. ไทยและบาห์เรนได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และ โภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจใน 3 ประเด็น ได้แก่ (1) การจัดหาผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรจากไทยไปบาห์เรน (2) การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร และ (3) การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมฮาลาลระหว่างไทยกับบาห์เรนในสาขาการวิจัยและการพัฒนา การเสริมสร้างศักยภาพและการผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล รวมทั้งได้กำหนดที่จะตั้ง JSC เพื่อขับเคลื่อนประเด็นหารือตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยที่ผ่านมายังไม่เคยมีการประชุมระหว่างกันมาก่อน
2. ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JSC ไทย – บาห์เรน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 3 – 4 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร
3. พณ. ได้จัดการประชุมส่วนราชการและเอกชนไทยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 ครั้ง เพื่อพิจารณาประเด็นที่ฝ่ายไทยประสงค์จะผลักดันสำหรับการประชุม JSC ไทย – บาห์เรน ครั้งที่ 1 โดยได้นำประเด็นความร่วมมือที่กำหนดไว้ภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ มาเป็นกรอบการหารือ และเห็นควรเสนอท่าทีไทย ดังนี้ (1) การจัดหาผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรจากไทยไปบาห์เรน (2) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร (3) การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร และ (4) การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมฮาลาลระหว่างไทยกับบาห์เรน
4. การจัดการประชุม JSC ไทย – บาห์เรน ครั้งที่ 1 จะเป็นการเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับบาห์เรนให้เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าบาห์เรนจะเป็นตลาดขนาดเล็ก แต่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ไทย ในขณะที่ไทยสามารถเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้แก่ฝ่ายบาห์เรน อีกทั้งบาห์เรนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศสมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) (ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรต กาตาร์ และบาห์เรน) เป็นอย่างมาก จึงเป็นโอกาสในการขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ GCC โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว
แต่งตั้ง
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายวันจักร ฉายากุล ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านอำนวยความปลอดภัย) (วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ) กรมทางหลวง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านอำนวยความปลอดภัย) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
15. เรื่อง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี ดังนี้
1. เปลี่ยนแปลงจาก อธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทน กรรมการ เป็น อธิบดีกรมท่าอากาศยาน หรือผู้แทน กรรมการ
2. เปลี่ยนแปลงจาก ผู้อำนวยการสำนักควบคุมวัตถุอันตราย กรรมการ เป็น ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรรมการ
3. เพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
16. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายมานิตย์ มณีธรรม รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายธำรง ธวัชวะชุม รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นางอัษฎาพร ไกรพานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
18. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายสงกรานต์ อักษร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
19. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอแต่งตั้ง นายจิรชัย มูลทองโร่ย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ดำเนินการสรรหาเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินในครั้งต่อไป ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
20. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติทดแทนกรรมการที่ขอลาออกและเกษียณอายุราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทนผู้ที่ลาออกและที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ตามลำดับ ดังนี้
1. นายชัยพัฒน์ สหัสกุล เป็นกรรมการ แทน นางสาวจิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์
2. นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ผู้แทน พม. เป็นกรรมการ แทน ว่าที่ร้อยตรี ศรัณย์ สมานพันธ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
21. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ (ภาคเอกชน) ในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายปรเมศวร์ มินศิริ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ (ภาคเอกชน) ในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
22. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไม่อาจปฏิบัติราชการได้ จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์)
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร)
โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 4 คน แทนผู้ที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายสุรงค์ บูลกุล (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
2. ศาสตราจารย์วีรกร อ่องสกุล กรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
3. นายปฏิคม วงษ์สุวรรณ (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
4. รองศาสตราจารย์ธีร เจียศิริพงษ์กุล กรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง พลเอก อภิชาต แสงรุ่งเรือง เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางเอมปรีดิ์ วัชรางกูร ผู้อำนวยการกองงานนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอการแต่งตั้งโฆษก พม. และรองโฆษก พม. ซึ่ง พม. ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษก พม. จากเดิม นายณรงค์ คงคำ เป็น นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการ พม. และเปลี่ยนรองโฆษก พม. จากเดิม นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ เป็น นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ตามคำสั่ง พม. ที่ 445/2561 เรื่อง แต่งตั้งโฆษก พม. และรองโฆษก พม. (ฝ่ายข้าราชการประจำ) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของ พม. เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี