21 ก.ค.61 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวที่ จ.นครราชสีมา ถึงข้อกล่าวหาที่ระบุว่าแกนนำ นปช.แตกคอกันและนายสุภรณ์ถูกดูดไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนไม่ได้ร่วมงานกับ นปช.มานานแล้ว ตั้งแต่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นประธาน ด้วยเหตุผลแนวทางและความเห็นของตนขัดแย้งกับนางธิดามาตลอด จึงทำงานไปด้วยกันไม่ได้ ซึ่งตนก็ขอออกมา ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับ นปช.อีกเลย ทั้งนี้แกนนำ นปช.ทุกคนก็ทราบดี จากนั้นตนก็ได้มาตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยหรือ อพปช.เคลื่อนไหวในแนวทางของตนเอง และต่อมาก็ถูกนางธิดา , นพ.เหวง โตจิราการ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวหาโจมตีและระบุชัดเจนว่าแรมโบ้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ นปช.แล้ว
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาเดือน พ.ค.57 คสช.เข้ายึดอำนาจ ตนก็ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองเพราะตนอึดอัดเจอสารพัดปัญหา ทั้งถูกดำเนินคดีหลายคดี แม่กับภรรยาก็ป่วยเป็นมะเร็ง ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ถ้าขืนยังทำการเมืองอยู่ต่อไปครอบครัวก็คงจะลำบาก ที่
“สำคัญขณะที่ผมถูกทหารควบคุมตัว พรรคเพื่อไทยไม่มีใครมาเหลียวแลถามไถ่ความเป็นอยู่เลย ต้องช่วยตัวเองทุกอย่าง จึงเห็นธาตุแท้ของนักการเมือง จำเป็นต้องเอาตัวรอดก่อน ในที่สุดทหารก็ปล่อยผมออกมา ซึ่งในช่วงนั้นก็รอดูว่าจะมีผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคนใดโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบว่ามีชีวิตอยู่อย่างไร ครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่ เพียงแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาเงินทองมาให้ แต่ก็ไร้วี่แววไม่เห็นมีใครสนใจสักคน” นายสุภรณ์ กล่าว
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า เมื่อตนถูกพรรคเพื่อไทยทอดทิ้ง ไม่เห็นคุณค่า จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพรรคก็ตอบหนังสือกลับมาให้ลาออกได้ โดยไม่มีใครมาทัดทานหรือห้ามปรามอะไรทั้งสิ้น มิหนำซ้ำตนยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศพรรค ขายตัวให้กับทหาร สารพัดที่จะหาเรื่องด่า เช่น กล่าวหาว่าตนเอารายชื่อแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไปให้ทหารตามจับบ้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง หัวใจตนเองยังผูกพันกับคนเสื้อแดงเหมือนเดิม แต่ตนไม่ได้ไปร่วมทำงานกับแกนนำ นปช.เท่านั้น
นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้ประชาชนในพื้นที่อยากให้ตนกลับมาเล่นการเมือง ทำประโยชน์ให้กับชาวบ้าน ตนก็ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะที่ผ่านมาตนมีบทบาทในการผลักดันงบประมาณมาสร้างประโยชน์ในพื้นที่หลายโครงการ จนทำให้ชาวบ้านรักและศรัทธา เมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็เลยตัดสินใจจะกลับมาทำงานทางการเมือง แต่ก่อนจะกลับก็ต้องไปกราบย่าโม ที่ตนเคารพบูชาบอกท่านเสียก่อน เพราะตอนจะเลิกตนก็มาบอกย่าโม ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมของลูกหลานย่าโมคนโคราชปู่ย่าตายายปฏิบัติมาอย่างนี้ ไม่ไม่ใช่เป็นการนำเอาย่าโมมาหากินตามที่มีคนกล่าวหาตนเอง ตนทำตามปู่ย่าตายายเคยพาทำมันจะผิดหรือเสียหายตรงไหน
“หลังจากนี้ผมจะตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคการเมือง ที่เห็นว่ามีนโยบายและผู้นำพรรคที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ ถ้าผมจะไปสังกัดพรรคที่มีทหารเป็นแกนนำ ก็ถือเป็นสิทธิของผม แต่ก่อนผมถูกคนออกมาด่าเสียๆหายๆทั้งผ่านโซเชียลต่างๆ สารพัดวิธีที่จะด่า ณ วันนี้ผมได้ตัดสินใจแล้วที่จะเข้ามาสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่มีแนวทางการสร้างความปรองดอง การสลายสีเสื้อ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความรัก ความสามัคคี เป็นปรึกแผ่นซึ่งสังคมไทยในปัจจุบันกำลังต้องการอย่างยิ่ง” นายสุภรณ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวโจมตีหนักว่านายสุภรณ์ เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรและพรรคพลังประชารัฐ เพราะถูกเสนอเงินให้เป็นตัวเลขที่สูงนั้น นายสุภรณ์ กล่าวว่า ตนบอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาไม่เห็นมีกลุ่มหรือพรรคไหนมาเสนอเงินให้ตนแม้แต่บาทเดียว ที่ตนต้องการเข้าร่วมเพราะมองเห็นเจตนารมณ์ที่ดี ที่อยากจะสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดกับแผ่นดินไทยโดยไม่เลือกสี เลือกข้าง ซึ่งตนเห็นว่า ณ วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าให้ได้ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ก็เป็นคนดี แถมยังเป็นคนโคราชด้วยกันก็ถือเป็นคนที่น่าสนับสนุน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี