23 ก.ค.61 ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันแลปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวเปิดงานและบรรยายพิเศษเรื่อง “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาความหวังในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” ตอนหนึ่งว่า การแก้ปัญหาการทุจริตจะอาศัยการปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้ เพราะด้านการป้องกันหารทุจริตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งหากดำเนินการป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพเราก็จะสามารถเก็บเงินที่เกิดการทุจริตกว่าแสนล้านบาทต่อปีมาพัฒนาประเทศได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาขึ้น 5 หลักสูตรในการศึกษาทุกระดับ
โดยมีหัวใจสำคัญ 4 วิชา คือ 1.การคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม 2.ความอายละความไม่ทนต่อการทุจริต 3.จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4.พลเมืองและการรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ตนมองว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเป็นความหวังของสังคมไทย เพราะเด็กไทยในอนาคตจะมีจิตสาธารณะ รู้จักแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ซึ่งจะกลายเป็นกำลังหลักสำคัญในการต่อต้านการทุจริตของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ตนคิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว และคิดว่าภายใน 5 ปี จะเห็นผลว่าการต่อต้านการทุจริตของไทยจะดีขึ้นอย่างเห็นผลแน่นอน และหวังว่าค่าดัชนีรับรู้การทุจริตของประเทศไทยจะมีคะแนนถึง 50 คะแนน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวอีกว่า แม้ประชาชนต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาทุจริตที่เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ยอมรับว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาการทุจริตล่าช้า เหตุเพราะก่อนหน้านี้มีคดีสะสมในป.ป.ช.จำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช.มีบุคคลกร 2,500 คน และรัฐบาลนี้ได้เพิ่มอัตรากำลังให้อีก 700 คน ซึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้การสะสางคดีค้างเก่าให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ขณะที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2560 ที่เพิ่งจะมีผลบังคับใช้นั้น ก็จะทำให้บริบทการทำงานเข้มข้นขึ้น รวดเร็วขึ้น เพราะถือเป็นครั้งแรกที่กฎหมายมีกรอบเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานหรือการไต่สวนของ ป.ป.ช. และกรอบเวลาในการฟ้องคดีของอัยการสูงสุดด้วย ซึ่งการกำหนดกรอบเวลาดังกล่าวก็เพื่อเร่งรัดให้การทำคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว และทำให้คนที่จะทำการทุจริตเกรงกลัว นอกจากนั้นยังป้องกันการทุจริตตั้งแต่ต้น โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตาม ป.ป.ช.กำหนดมีหน้าที่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ส่วนตำแหน่งที่ ป.ป.ช.ไม่ได้กำหนดให้ยื่นต่อหน่วยงานต้นสังกัด เป็นต้น
จากนั้นได้มีการอภิปรายหัวข้อ “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสู่การปฏิบัติ” โดยนายสวัสดิ์ ภู่ทอง ผอ.สำนักพัฒนากฎหมายการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, นายอโณทัย ไทยวรรณศรี ผอ.สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.), นางปาริยา ณ นคร ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, นางสมบัติ คชสิทธิ์ ที่ปรึกษาที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ โดยในการอภิปรายมีการหารือว่า หลักสูตรดังกล่าวควรจะแต่ละโรงเรียนจะต้องนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสม ไม่ควร เพราะโรงเรียนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน บางโรงเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก แต่โรงเรียนชนบทมีนักเรียนหลักสิบคน
ดังนั้นจะต้องให้มีการประยุกต์ใช้ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน แต่ก็ยังมีความกังวลว่าจะมีการทำแบบไม่ครบถ้วน หรือทำบ้างไม่ทำบ้าง จนการสอนตามหลักสูตรดังกล่าวไม่ได้ผล ขณะที่การนำไปปฏิบัตินั้น ที่ผ่านมา สพฐ.ได้นำครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำหลักสูตร กว่า 70 คน มาระดมความรู้เพื่อทำแผนการสอนออกมาอย่างละเอียด และได้มีการทดลองสอนตามแผนดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นมีการพัฒนาครูกว่า 2,000 คน ขึ้นมาเป็นวิทยากรต่อต้านการทุจริตด้วย ทั้งนี้หลักสูตรต้านการทุจริตเป็นความต่อเนื่อง ซึ่งจะแตกต่างจากการทำกิจกรรมที่ทำแล้วจบ ส่วนการนำไปใช้ในระดับอุดมศึกษานั้น เป้าแรกอาจจะทำในรูปแบบกิจกรรมของนักศึกษา ส่วนการผลักดันหลักสูตรดังกล่าวให้แทรกอยู่ในมหาวิทยาลัยทุกคณะจะต้องมีการดำเนินการต่อไปอีก ส่วนการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมนั้น แต่ก็เชื่อว่าหลักสูตรต้านการทุจริตศึกษาจะเป็นวิชาที่มหาวิทยาลัยจะนำไปปรับใช้ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี