28 ส.ค.61 เมื่อเวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ยกเลิกนิยามกองทุนรวมในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 (8) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
ลงวันที่ 19 กันยายน 2515 รวมทั้งยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมดังกล่าว โดยบทบัญญัติที่ถูกยกเลิก หรือแก้ไขเพิ่มเติมยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะแก่กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นก่อน วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
2. กำหนดให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และนิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
3. กำหนดให้ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวม ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ช) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกันกับผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือโอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออกเฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน อย่างไรก็ดี บุคคลธรรมดาไทยและต่างประเทศยังคงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม)
4. กำหนดให้บุคคลธรรมดาไทยสามารถเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราร้อยละ 10 โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาต่างประเทศกำหนดให้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราร้อยละ 10
5. กำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เท่ากับร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักรายจ่ายใดๆ
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการกำหนดให้มีกลไกและกระบวนการในการจัดระบบสุขภาพปฐมภูมิ ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพโดยการประสานความร่วมมือเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่มีส่วนร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ทั้งนี้ เป็นการดูแลสุขภาพของประชาชนตั้งแต่แรกแบบองค์รวม ผสมผสาน ต่อเนื่อง ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “สุขภาพปฐมภูมิ” “ระบบสุขภาพปฐมภูมิ” “หน่วยบริการ” “หน่วยบริการปฐมภูมิ” “ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข” และ “คณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ”
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการผู้แทนหน่วยบริการปฐมภูมิ กรรมการผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้แทนสาธารณสุขอำเภอ ผู้แทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และผู้แทนอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการ
3. กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยให้คณะกรรมการกำกับดูแลเชิงนโยบายควบคู่ไปกับการกำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น เสนอนโยบายและแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับระบบสุขภาพปฐมภูมิต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา และอุปสรรคในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ดังกล่าว และเสนอแนวทางต่อคณะรัฐมนตรีในการผลิตและพัฒนาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ รวมทั้งกำหนดมาตรการ ส่งเสริม และสร้างเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพและมีความรู้ในการจัดการสุขภาพของตนเอง นอกจากนั้น คณะกรรมการดังกล่าวยังมีหน้าที่และอำนาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามที่ร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนด
4. กำหนดให้สำนักงานปลัด สธ. มีหน้าที่และอำนาจเป็นหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อนกลไกต่าง ๆ ตามร่างพระราชบัญญัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เช่น จัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยต้องคำนึงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ประสานงานกับหน่วยบริการปฐมภูมิ เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ หน่วยงานของรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นศูนย์กลางฐานข้อมูลเกี่ยวกับระบบสุขภาพปฐมภูมิ จัดให้มีทะเบียนผู้รับบริการ หน่วยบริการปฐมภูมิ และเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ และพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิ รวมทั้งส่งเสริมและสร้างเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพและมีความรู้ในการจัดการสุขภาพของตนเอง ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิให้เพียงพอกับการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ
5. กำหนดให้มีกลไกการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น สิทธิได้รับบริการสุขภาพปฐมภูมิที่เป็นธรรม มีคุณภาพ มีมาตรฐาน สิทธิได้รับการรักษาพยาบาลหรือรับบริการสาธารณสุขตามสวัสดิการหรือตามสิทธิที่บุคคลนั้นได้รับอยู่ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ มติคณะรัฐมนตรี หรือคำสั่งอื่นใด รวมทั้งกำหนดกระบวนการรับบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น กำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ เพื่อเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ และแจ้งให้ประชาชนทราบ และกำหนดหน้าที่ของหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น ให้บริการและข้อมูลการบริการสุขภาพปฐมภูมิและสิทธิของผู้รับบริการแก่ผู้รับบริการ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือผู้รับผิดชอบในการดูแลอย่างต่อเนื่องแก่ญาติหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้รับบริการ
6. กำหนดให้มีการส่งต่อผู้รับบริการสุขภาพปฐมภูมิในกรณีที่มีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้รับบริการเพื่อให้ไปรับการรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการปฐมภูมิอื่น เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือหน่วยบริการอื่น โดยให้แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวหรือคณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิซึ่งดูแลผู้รับบริการดำเนินการให้มีการส่งต่อผู้รับบริการดังกล่าว
7. กำหนดให้มีการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของหน่วยบริการปฐมภูมิ และเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น ให้คณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิจัดให้มีการตรวจสอบเพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิอย่างสม่ำเสมอ โดยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบดังกล่าว
8. กำหนดให้มีการส่งเสริมและพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ เช่น หน่วยบริการปฐมภูมิหรือเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิอาจขอรับการสนับสนุนเพื่อการส่งเสริม และพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิหรือการส่งเสริมและสร้างเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพและมีความรู้ในการจัดการสุขภาพของตนเองได้ในทุกมิติ จากสำนักงานปลัด สธ.
9. กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐาน ของคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ คณะอนุกรรมการ คณะกรรมการสอบสวน หรือคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวตามสมควร
10. กำหนดบทเฉพาะกาลรองรับภายในสิบปีนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้สำนักงานปลัด สธ. จัดให้มีหน่วยบริการปฐมภูมิในสัดส่วนที่เหมาะสมกับจำนวนผู้รับบริการและพื้นที่ และให้ สธ. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสถาบันอุดมศึกษาดำเนินการเพื่อให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขดูแลประชาชน ในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อไป แต่หากมีเหตุจำเป็นให้คณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการขยายระยะเวลาออกไปอีกเป็นระยะเวลาตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด
3.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เรื่อง |
สาระสำคัญ |
1. เจ้าพนักงานตำรวจศาล |
- จัดให้มีเจ้าพนักงานตำรวจศาลในจำนวนที่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ในศาลทุกศาล |
2. หน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจศาล |
- ติดตามสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาลแล้วหลบหนี หรือผู้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของศาล และศาลได้ออกหมายจับแล้ว - เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้นหรือจับกุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของศาล เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวหลบซ่อนอยู่ และมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากเนิ่นช้าไป บุคคลดังกล่าวจะหลบหนี ทั้งนี้ หากเจ้าของหรือผู้รักษาสถานที่นั้นไม่ยอมให้เข้าไป เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไปได้ - ค้นหายานพาหนะที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก หรือคำสั่งของศาล ได้เข้าไปหลบซ่อนอยู่ และหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะไม่สามารถตามยานพาหนะ หรือบุคคลดังกล่าวได้ - รักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ในบริเวณศาล - ให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา |
3. ความร่วมมือ |
- ศย. อาจขอให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม - ให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐดังกล่าวได้รับค่าใช้จ่ายหรือค่าตอบแทนอื่นใดที่จำเป็นตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง |
4. ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจศาล |
- ในกรณีจำเป็น ให้เลขาธิการ ศย. มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจศาล โดยมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตำรวจศาล |
5. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
- ให้ ศย. ได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์เช่นเดียวกับราชการทหารและตำรวจตามกฎหมายดังกล่าว |
4.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำผลการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561 ที่สำนักงาน ก.พ. ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ก.ม.จ.) ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ผู้แทน ก.พ. เป็นรองประธาน ผู้แทนองค์กรกลางบริหารงานบุคคลนอกจาก ก.พ. ผู้แทน ก.พ.ร. ผู้แทนศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินห้าคน และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง
3. ก.ม.จ. มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนและการส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐ ให้คำปรึกษาแก่องค์กรกลางการบริหารงานบุคคลในการจัดทำและปรับปรุงประมวลจริยธรรม กำหนดหลักเกณฑ์การนำจริยธรรมไปใช้ในกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงวินิจฉัย ตีความ หรือให้ความเห็นในเรื่องที่ขัดแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรม ตลอดจนกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามมาตรฐานทางจริยธรรม
4. กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการอื่นที่ทำหน้าที่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ของรัฐ กำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทนั้น และให้มีกลไกขับเคลื่อนองค์กร กระบวนการและวิธีการในการรักษาจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
5. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐนำพฤติกรรมในการรักษาจริยธรรมไปใช้ในกระบวนการบริหารงานบุคคล เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรฐานทางจริยธรรมเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
5.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอและการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลหรือผู้ประกอบกิจการอู่เรือ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งข้อมูล สถิติ และข้อความอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอและการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลหรือผู้ประกอบกิจการอู่เรือ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งข้อมูล สถิติ และข้อความอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
คค. เสนอว่า
1. เนื่องจากมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. 2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 ได้บัญญัติให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลและผู้ประกอบกิจการอู่เรือจดทะเบียนที่ให้บริการต่อซ่อม หรือซ่อมบำรุงเรือที่มีขนาดตั้งแต่หกสิบตันกรอสขึ้นไปต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลหรือผู้ประกอบกิจการอู่เรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การขอและการจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอและการจดทะเบียน พ.ศ. 2554 แต่พบว่าเอกสารหลักฐานในการยื่นประกอบกิจการดังกล่าวไม่เพียงพอสำหรับการเก็บข้อมูลที่กรมเจ้าท่าสามารถนำไปใช้ได้ ประกอบกับมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. 2521 ได้บัญญัติให้ผู้ประกอบธุรกิจพาณิชยนาวีแจ้งข้อมูล สถิติ และข้อความอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวีต่อกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี แต่ยังไม่เคยมีการออกกฎกระทรวง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งตามบทบัญญัติดังกล่าว ทำให้ระบบฐานข้อมูล สถิติของผู้ประกอบกิจการอู่เรือไม่เพียงพอในการนำไปใช้พัฒนาและส่งเสริมกิจการอู่เรือ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และให้ได้ข้อมูลของกิจการอู่เรือ ซึ่งดำเนินการต่อ ซ่อม ดัดแปลง หรือทำลายเรือประมงที่ผิดกฎหมาย
2. ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการขอและการจดทะเบียน พ.ศ. 2554 เพื่อให้ได้เอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการรับจดทะเบียนอู่เรือและกำหนดมาตรการเพื่อให้ได้ข้อมูล สถิติ และข้อความอื่นที่จำเป็นจากผู้ประกอบกิจการอู่เรือและใช้เป็นฐานข้อมูลที่จะนำไปสู่การส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีให้มีศักยภาพและสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมในการควบคุมอู่เรือที่รับทำการต่อ ซ่อม ดัดแปลง หรือทำลายเรือประมงที่ผิดกฎหมาย คค. จึงได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ โดยกรมเจ้าท่าได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอและการจดทะเบียน เป็นผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลหรือผู้ประกอบกิจการอู่เรือ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอและการจดทะเบียน พ.ศ. 2554 ดังนี้
1.1 กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการอู่เรือต้องจัดทำแผนผังบริเวณของสถานประกอบกิจการอู่เรือ เพื่อประกอบการขอจดทะเบียน โดยแสดงระยะและหน่วยการวัดคำนวณเป็นมาตราเมตริก มาตราส่วน 1 ต่อ 2,000 แสดงลักษณะที่ตั้ง ขอบเขตที่ดิน พร้อมรายละเอียด ดังนี้ (1) แสดงขอบนอกของอาคารทุกหลัง (2) แสดงระยะห่างของอาคารต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วและอาคารอู่เรือที่ใช้ประกอบกิจการในขอบเขตที่ดินทุกด้าน และ (3) ลักษณะและขอบเขตที่สาธารณะ สถานที่ราชการ หรืออาคารสำคัญในบริเวณที่ดินติดต่อโดยสังเขป พร้อมเครื่องหมายแสดงทิศ
1.2 กำหนดให้ผู้ขอทะเบียนต้องยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือใบรับแจ้งตามพระราชบัญญัติโรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ. 2515 (2) สำเนาโฉนดที่ดินหรือสำเนาสัญญาเช่าที่ดิน และ (3) ใบอนุญาตให้สร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ (ถ้ามี)
1.3 กำหนดให้ปิดหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการอู่เรือไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจนในบริเวณที่ตั้งของอู่เรือ
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งข้อมูล สถิติ และข้อความอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
2.1 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการอู่เรือ แจ้งข้อมูล สถิติ และข้อมูลอื่นที่จำเป็นต่อกรมเจ้าท่า โดยให้แจ้งเป็นเอกสารหรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามแบบและสถานที่ที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกำหนด และแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการอู่เรือที่มีการประกอบการระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของทุกปี ภายในวันที่ 31 มกราคม ของปีถัดไป
2.2 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการอู่เรือที่ให้บริการต่อ ยุบ เปลี่ยนประเภทหรือดัดแปลงเรือต้องแจ้งข้อมูลต่อกรมเจ้าท่าภายใน 15 วัน เมื่อได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
2.3 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการอู่เรืออยู่ในวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับต้องแจ้งข้อมูลตามกฎกระทรวงนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
6.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
มท. เสนอว่า ตามที่ได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารปรับปรุงหรือแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคาร นั้น โดยที่กฎกระทรวงดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้ข้อกำหนดบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากมีอาคารเก่าเป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอาคารที่เข้าข่ายเป็นอาคารสูง อาคารชนิดใหญ่พิเศษ อาคารสาธารณะ หรืออาคารที่มีผู้เข้าใช้สอยจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้อาคารเก่าที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัยต่อการใช้สอยอาคารมากยิ่งขึ้น สมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารปรับปรุงหรือแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคาร เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม ดังนี้
1.1 ตัดบทนิยาม “อาคารสูง” และ “อาคารขนาดใหญ่พิเศษ”
1.2 แก้ไขบทนิยาม
“อาคารขนาดใหญ่” หมายความว่า อาคารที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 2,000 ตารางเมตร หรืออาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15.00 เมตรขึ้นไป และมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 1,000 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า สำหรับอาคารจั่วหรือปั้นหยาให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงยอดผนังของชั้นสูงสุด
“อาคารสาธารณะ” หมายความว่า อาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมคนได้โดยทั่วไป เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชย
กรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม โรงพยาบาล หอสมุด สนามกีฬากลางแจ้ง สถานกีฬาในร่ม ตลาด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน สถานกวดวิชาหรือกิจกรรมอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น
“อาคารอยู่อาศัยรวม” หมายความว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว โดยแบ่งออกเป็นหน่วยแยกจากกันสำหรับแต่ละครอบครัว
1.3 เพิ่มบทนิยาม
“อาคารชุด” หมายความว่า อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
“หอพัก” หมายความว่า อาคารสำหรับใช้เป็นหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก
“วัสดุไม่ติดไฟ” หมายความว่า วัสดุที่ใช้งานและเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ใช้งานแล้วจะไม่สามารถไม่ติดไฟ ไม่เกิดการเผาไหม้ ไม่สนับสนุนการเผาไหม้ หรือไม่ปล่อยไอที่พร้อมจะลุกไหม้ เมื่อสัมผัสกับเปลวไฟหรือความร้อน เช่น อิฐ อิฐมวลเบา ยิปซั่มทนไฟ ซีเมนต์บอร์ด กระจกทนไฟ เป็นต้น
“การอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนัง” หมายความว่า การป้องกันช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ควันและไฟลุกลามและเพิ่มความสมบูรณ์ของส่วนกั้นแยกของพื้นหรือผนังทนไฟให้ใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์
“แผ่นโลหะคอมโพสิต” หมายความว่า แผ่นวัสดุที่ประกอบด้วยผิวโลหะด้านหน้าและด้านหลัง ประกอบยึดกับไส้กลางซึ่งเป็นวัสดุเสริมความแข็งแรงหรือฉนวน
2. แก้ไขเพิ่มเติมประเภทอาคารที่บังคับใช้ โดยเพิ่มอาคารชุมนุมคน อาคารชุด และหอพัก
3. กำหนดให้การสั่งการให้แก้ไขอาคาร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการได้ตามลักษณะที่จำเป็นต้องมีสำหรับอาคารนั้น ๆ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) อาคารที่มีความสูงตั้งแต่สี่ชั้นขึ้นไปหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีความสูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป ให้ติดตั้งบันไดหนีไฟที่ไม่ใช่บันไดแนวดิ่งเพิ่มจากบันไดหลักให้เหมาะสมกับพื้นที่ของอาคารแต่ละชั้น โดยไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร แต่ต้องยื่นแบบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบ และบันไดหนีไฟต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(2) อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้มีผนังและประตูที่ทำด้วยวัสดุไม่ติดไฟที่สามารถปิดกั้นมิให้เปลวไฟหรือควันเมื่อเกิดเพลิงไหม้เข้าไปในบริเวณบันไดที่มิใช่บันไดหนีไฟของอาคาร
(3) อาคารสูงหรืออาคารชนิดใหญ่พิเศษเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น ห้องเก็บสิ่งของหรือวัสดุจำนวนมาก ฯลฯ ให้มีการกั้นแยกของอาคาร โดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หรือเป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยการกั้นแยกของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติ
(4) อาคารสูง ให้มีระบบป้องกันเพลิงไหม้ ซึ่งประกอบด้วยระบบท่อยื่นและหัวรับน้ำดับเพลิงตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
(5) ให้มีการอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนังโดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
(6) ให้มีการติดตั้งแบบแปลนแผนผังของอาคารแต่ละชั้นตามทิศทางการวางตัวของอาคาร แสดงตำแหน่งห้องต่าง ๆ ตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ประตูหรือทางหนีไฟของชั้นนั้นติดไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่บริเวณห้องโถงหรือหน้าลิฟต์ทุกแห่งทุกชั้นของอาคาร และบริเวณพื้นชั้นล่างของอาคารต้องจัดให้มีแบบแปลนแผนผังของอาคารทุกชั้นเก็บรักษาไว้ที่ห้องควบคุมหรือห้องที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเพื่อให้สมารถตรวจสอบได้โดยสะดวก
(7) ให้ติดตั้งเครื่องดับเพลิงยกหิ้วตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตามชนิดและขนาด ที่เหมาะสมสำหรับดับเพลิงที่เกิดจากประเภทของวัสดุที่มีในแต่ละชั้น
(8) อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารขนาดใหญ่ และอาคารชุมนุมคนให้ติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทุกชั้น โดยระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(9) ให้ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรองเพื่อให้มีแสงสว่างสามารถมองเห็นช่องทางเดินได้ขณะเพลิงไหม้ และมีป้ายบอกชั้นและป้ายบอกทางหนีไฟที่ด้านในและด้านนอกประตูหนีไฟทุกชั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลา
(10) อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษให้ติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ซึ่งประกอบด้วยตัวนำล่อฟ้า ตัวนำลงดิน และหลักสายดินที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบโดยให้เป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของกรมโยธาธิการและผังเมืองหรือมาตรฐานอื่นที่คณะกรรมการควบคุมอาคารให้การรับรอง
4. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารเก่ายื่นผลการตรวจสภาพความปลอดภัย ด้านอัคคีภัยของอาคารจากการใช้แผ่นโลหะคอมโพสิตที่แกนกลางหรือไส้กลางประกอบด้วยพลาสติกเป็นผนังภายนอกหรือวัสดุตกแต่งผิวภายนอกต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยการตรวจสภาพให้กระทำโดยผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุม ระดับไม่ต่ำกว่าสามัญสถาปนิก ตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิก หรือผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ระดับไม่ต่ำกว่าสามัญวิศวกร ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร สำหรับหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบสภาพความปลอดภัยให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หากไม่ผ่านหลักเกณฑ์ให้ถือว่าเป็นอาคารไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย ให้แก้ไขอาคารให้มีความปลอดภัยโดยไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร แต่ต้องยื่นแบบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบและออกคำสั่งให้เจ้าของอาคาร แก้ไขอาคารโดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
5. กำหนดให้ในกรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการแก้ไขอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นแต่งตั้งคณะนายช่างเพื่อตรวจสอบสภาพหรือการใช้อาคารหรือระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย ซึ่งเดิมกำหนดเพียงนายช่างเพียงคงเดียวก็สามารถตรวจสอบได้
6. กำหนดให้เจ้าของอาคารที่ได้รับคำสั่งให้แก้ไขอาคาร กรณีที่อาคารเป็นภยันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายที่เกิดจากความไม่มั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร ต้องยื่นแบบที่รับรองโดยวิศวกรตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
7.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ขออาชญาบัตร ประทานบัตร และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
ในการขอและออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ขออาชญาบัตร ประทานบัตร และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการขอและออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรและประทานบัตร
2. กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร
3. กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอประทานบัตรนอกจากต้องยื่นหลักฐานตามที่ระบุในแบบคำขอประทานบัตรแต่ละประเภทแล้ว ต้องยื่นหนังสือรับรองตนว่าจะไม่กระทำการอันขัดกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการทำเหมืองแร่โดยคนต่างด้าว และการห้ามยื่นคำขอใบรับอนุญาตเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น
4. กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาออกประทานบัตร ได้แก่ ความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ ความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่จะใช้ในการทำเหมือง มาตรการป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แผนการฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแร่ และผู้ยื่นคำขอยอมรับว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อป้องกันภัยพิบัติ
8.เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 [กำหนดสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เพิ่มเติม)]
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 [กำหนดสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เพิ่มเติม)] ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยกำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ และ ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
เศรษฐกิจ-สังคม
9.เรื่อง การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ การปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กำหนด (สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ) รายเดือน (200/100 บาท/คน/เดือน) สำหรับระยะเวลาคงเหลืออีก 4 เดือน (กันยายน – ธันวาคม 2561) เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมกับที่เคยได้รับเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายตามความต้องการอันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า การดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่เดือนมีนาคม – สิงหาคม 2561 (ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน) ซึ่งใช้งบประมาณในการดำเนินการฯ รวมทั้งสิ้น 5,695.83 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ดังนี้ (1) กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/ปี จำนวนเงิน 4,868.85 ล้านบาท และ (2) กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี จำนวนเงิน 826.98 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี กค. ได้เสนอว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ จึงเห็นควรปรับเปลี่ยนแนวทางจากการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นฯ รายเดือน เป็น การเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิแทน ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมที่ได้รับ โดยจะใช้ดำเนินการในระยะเวลาที่เหลืออีก 4 เดือนของมาตรการนี้ คือ กันยายน – ธันวาคม 2561 ซึ่งผู้มีสิทธิสามารถถอนเงินที่เติมเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ฯ เป็นเงินสดได้ ผ่านตู้ ATM และสาขาของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย รวมทั้งหากมียอดคงเหลือของเดือน สามารถนำไปสะสมในเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 (เรื่อง มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ในส่วนของข้อ 3.5 มาตรการส่งเสริมการพัฒนาตนเอง
10.เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ 2)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ 2) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 เห็นชอบหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สำหรับการเบิกค่าใช้จ่ายของโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage Emergency Patients : UCEP) นั้น สธ. ได้ดำเนินการจัดทำประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต รวมถึงรายการบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ จำนวน 2,970 รายการ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม สธ. ได้ดำเนินการติดตามผลการดำเนินโครงการ UCEP แล้วพบว่า สถานพยาบาลประสบปัญหาไม่สามารถเบิกค่าบริการบางรายการที่มีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้ เนื่องจากไม่อยู่ในรายการที่กำหนดไว้ในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ
2. คณะกรรมการสถานพยาบาลได้มีคำสั่ง ที่ 15/2560 ลงวันที่ 25 กันยายน 2560 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ขึ้น เพื่อดำเนินการรวบรวมปัญหาจากหลักเกณฑ์ฯและบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้าย รวมถึงจัดทำข้อเสนอเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมข้อมูลการดำเนินโครงการ UCEP จากสถานพยาบาล โดยเฉพาะสถานพยาบาลเอกชน เพื่อประกอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้าย โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำหลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 2) แล้วเสร็จและเสนอต่อคณะกรรมการสถานพยาบาล ซึ่งคณะกรรมการสถานพยาบาลได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 2) แล้วในคราวประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561
3. หลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 2) มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มรายการในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายจำนวน 1,649 รายการ ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มรายการใน 4 หมวดจากทั้งสิ้น 12 หมวด สรุปได้ดังนี้
3.1 หมวดที่ 2 ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดโรค จำนวน 226 รายการ โดยอุปกรณ์ที่ปรับเพิ่มเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เช่น
รายการ |
ข้อบ่งชี้ |
สายลวดนำสายสวน (Guidewires) |
ใช้ร่วมกับสายสวนหลอดเลือดเพื่อนำทางสายสวนหลอดเลือดไปวางในตำแหน่งของหลอดเลือดที่ต้องการ สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอุดตันที่ตำแหน่งต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง |
สายสวนหัวใจเพื่อการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าภายในห้องหัวใจ (Multipolar electrode catheter) |
ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวัด (Arrthythmia) |
ผงแป้งเชื่อมเยื่อหุ้มปอด (Sterile Talcum) |
เชื่อมเยื่อหุ้มปอดในรายที่มีน้ำหรือลมขังอยู่ในระหว่างเยื่อหุ้มปอดและจำเป็นที่จะต้องเชื่อมเยื่อหุ้มปอด เพื่อลดอาการเหนื่อยหรือลดโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำ |
อุปกรณ์ช่วยระบายน้ำในช่องสมอง (Ventriculoperitoneal shunt) |
ใช้สำหรับผู้ป่วยน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังคั่ง (Hydrocephalus) |
3.2 หมวดที่ 3 ยาและสารอาหารทางเส้นเลือด จำนวน 1,029 รายการ แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ 1) ยาและสารอาหารทางเส้นเลือดที่ใช้สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และ 2) ยาทั่วไปที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตอาจต้องใช้ประกอบการรักษาในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เช่น
รายการ |
ข้อบ่งชี้ |
ETOMIDATE-LIPURO |
ยานำสลบใช้ในการทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึก ในกรณีที่ต้องทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต |
GLUCOPHAGE |
ยาสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน |
MADIPLOT |
ยาสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง |
3.3 หมวดที่ 5 เวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา จำนวน 36 รายการ โดยอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นวัสดุที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตอาจต้องใช้ประกอบการรักษาในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เช่น
รายการ |
ข้อบ่งชี้ |
COTTON BALL |
สำหรับการทำแผล หรือฉีดยา |
ARM SLING |
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บที่แขนหรือหัวไหล่ |
SOFT COLLAR |
สำหรับกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณกระดูกสันหลัง ส่วนคอ |
3.4 หมวดที่ 7 ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ จำนวน 358 รายการ ซึ่งเป็นรายการที่ต้องทำเพื่อการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เช่น
รายการ |
ข้อบ่งชี้ |
การตรวจ LE cell preparation, stain, examination และการตรวจ Antinuclear antibody |
ตรวจในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงจนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้ |
การตรวจ Biopsy หรือชิ้นเนื้อขนาดต่าง ๆ |
ตรวจกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้รับการผ่าตัด หรือส่องตรวจแล้วพบชิ้นเนื้อผิดปกติ จำเป็นต้องตรวจเพื่อหาสาเหตุ |
การตรวจ CD4 Count |
ตรวจในผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่สงสัยว่าอาจเป็นโรค AIDS |
11.เรื่อง โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
2. เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
2.1 ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดทำแผนดำเนินโครงการในรายละเอียดเช่น แนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการระยะเวลาดำเนินโครงการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ รูปแบบชุดข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการ เป็นต้น รวมทั้งให้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอโครงการ (Project Proposal) ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ชัดเจน และเป็นรูปธรรม เพื่อใช้ประกอบการนำเสนอ กสทช. ในการขอใช้แหล่งรายได้จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามความเห็นของสำนักงาน กสทช. แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี ก่อนดำเนินโครงการต่อไป
2.2 ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้มีการจัดทำไว้เป็นรายบุคคลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิตามโครงการแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมายและพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักให้กับผู้เข้าร่วมโครงการถึงการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อมูลตามความเห็นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไปด้วย
2.3 ในการหารือแนวทางการให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความร่วมมือให้หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(1) ควรสนับสนุนให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าร่วมโครงการ จัดสรรการให้บริการที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยและภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
(2) คำนึงถึงความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นของการให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยฯ ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้กับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว
2.4 ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการเพื่อนายกรัฐมนตรีรับทราบในลักษณะข้อมูลออนไลน์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
3. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกการประเมินผลโครงการสวัสดิการแห่งรัฐในภาพรวม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ ตลอดจนนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการจัดสวัสดิการของภาครัฐในระยะต่อไป
12.เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพิ่มเติม (กระทรวงกลาโหม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2561 จำนวน 8,760,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 292,562,976 บาท (สองร้อยเก้าสิบสองล้านห้าแสนหกหมื่นสองพันเก้าร้อยเจ็ดสิบหกบาทถ้วน) โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 33.3976 บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) สนับสนุนหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จำนวน 2 ชุด ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
สาระสำคัญ
กระทรวงกลาโหม เสนอว่า กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) มีภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบทั่วประเทศ มีสำนักงานพัฒนาภาค 1-5 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาเป็นหน่วยปฏิบัติ โดยจัดตั้งเป็น “ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในอัตราเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย เมื่อได้รับการประสานอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมาการเคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ประสบภัยนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากเส้นทางถูกตัดขาดต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือรอหน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการก่อสร้างสะพาน หรือเชื่อมต่อเส้นทางถูกตัดขาดต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือรอหน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการก่อสร้างสะพาน หรือเชื่อมต่อเส้นทางเป็นการชั่วคราว ทำให้การช่วยเหลือไม่ทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นจะต้องจัดหายุทโธปกรณ์ไว้สำหรับช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือขั้นต้นกรณีเร่งด่วน และสามารถรวมการยุทโธปกรณ์จากหน่วยในพื้นที่ที่ไม่มีเหตุการณ์เข้าสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในขั้นตอนต่อไป อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนช่วยเหลือส่วนราชการในการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเมื่อได้รับการร้องขอ จึงต้องดำเนินการจัดหาสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เนื่องจากมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง สามารถเคลื่อนย้ายไปพร้อมกับชุดกู้ภัยเคลื่อนที่เร็วของหน่วย นอกจากนี้รถวางสะพานแต่ละคันสามารถแยกการใช้งานเป็นอิสระ โดยแจกจ่ายให้กับหน่วยบรรเทาสาธารณภัยแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศได้ ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการจะทำให้กองบัญชาการกองทัพไทยขาดความพร้อมในการรองรับการแก้ไขปัญหาในการบรรเทาสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งในอนาคต
13.เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการในคู่มือการดำเนินโครงการฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
1. การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ในพื้นที่ตาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน จนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562
2. การแก้ไขเพิ่มเติมหลักการในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ดังนี้
2.1 ระยะเวลาดำเนินการ หากมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ เดิม “ให้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัด/ปลัดกรุงเทพมหานครพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่ต้องไม่เกินสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561” เปลี่ยนแปลงเป็น “ให้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัด/ปลัดกรุงเทพมหานคร พิจารณาให้ความเห็นชอบได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ภายในกรอบระยะเวลา ดังนี้
ครั้งที่ 1 เห็นชอบให้ขยายได้ไม่เกินสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2561 (วันที่ 30 กันยายน 2561)
ครั้งที่ 2 เห็นชอบให้ขยายได้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561”
2.2 การให้ความเห็นชอบเฉพาะกรุงเทพมหานครให้ขยายระยะเวลาการจัดส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ 30 กันยายน 2561
2.3 การยกเลิกโครงการเดิมและขอเปลี่ยนแปลงเป็นโครงการอันเนื่องมาจากภัยพิบัติหรือเหตุผลความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่อาจทำให้ดำเนินโครงการได้ จะต้องเสนอแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เดิม “ให้กองจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ภายใน 30 วัน นับแต่หมู่บ้าน/ชุมชนได้รับแจ้งผลการเห็นชอบแผนฯ” เปลี่ยนแปลงเป็น “ให้กองจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่/สำนักงบประมาณภายในวันที่ 30 กันยายน 2561”
ต่างประเทศ
14.เรื่อง ขออนุมัติการลงนามในเอกสารโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF – Nansen Programme)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF – Nansen Programme) ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) เพื่อดำเนินงานวิจัยและการสำรวจทรัพยากรประมงและทะเล ของไทย
2. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารโครงการฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้ กษ. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
3. อนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ
4. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 3
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า กษ. ได้รับเอกสารโครงการ GCP/GLO/690/NOR: EAF – Nansen Programme จากสำนักงานองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลนอร์เวย์ผ่านองค์กรนอร์เวย์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือ (Norad) สถาบันวิจัยทางทะเล (IMR) FAO และประเทศตามแนวชายฝั่งแอฟริกา โดยโครงการฯ มีระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) และมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความยากจนและส่งเสริมให้มีการเข้าถึงความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ผ่านการทำการประมงอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการให้แก่ประชากรของประเทศสมาชิก โดยในการดำเนินการจะใช้เรือสำรวจทรัพยากรทางทะเล [Dr Fridtjof Nansen ขนาด 3,853 ตันกรอส สัญชาตินอร์เวย์และชักธงองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ซึ่งเป็นเรือสำรวจที่มีความทันสมัยและมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์พร้อมสำหรับการสำรวจทรัพยากรทางทะเล ทำการสำรวจทางนิเวศวิทยาและประเมินทรัพยากรทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในมหาสมุทรอินเดีย เริ่มจากสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สาธารณรัฐโมซัมบิก สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย สาธารณรัฐมอริเชียส สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสิ้นสุดการสำรวจ ณ ทะเลอันดามัน ประเทศไทย โดยมีกำหนดเข้าน่านน้ำไทยช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม 2561 และมีแผนทำการสำรวจทรัพยากรประมงและสมุทรศาสตร์ทะเลลึกที่ได้ร่วมกันวางแผนตามความสนใจของประเทศไทยผ่านการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในการสำรวจจะมีการนำเรือสำรวจโดยการอนุญาตของ FAO เดินทางเข้ามาในทะเลอันดามัน บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต ภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศ ซึ่งจะมีการจัดทำข้อตกลงเพิ่มเติมระหว่าง FAO กับรัฐบาลไทยภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดตามที่ระบุในข้อ 7 ของเอกสารโครงการ เพื่อทำการสำรวจระบบนิเวศวิทยาทางทะเลและเมื่อการสำรวจแล้วเสร็จสิ้น FAO จะจัดทำรายงานและส่งมอบให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลผู้สนับสนุนทุน (สถาบันวิจัยทางทะเล ประเทศนอร์เวย์) ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในเอกสารโครงการและมีการจัดทำรายงานการประเมินผลซึ่งจะถูกเก็บเป็นความลับและจำกัดการเข้าถึงของบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการโดยตรง
ทั้งนี้ การดำเนินการตามโครงการฯ ดังกล่าวโดยการสำรวจทรัพยากรทางทะเลในน่านน้ำไทยจะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการแสดงความร่วมมือที่ดีของประเทศไทยกับองค์กร FAO และแสดงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะบริหารจัดการทรัพยากรประมง ประโยชน์ด้านข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจทรัพยากรประมงในเขตน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันภายใต้เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและการประมงไทยต่อไปในอนาคต รวมทั้งเป็นการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทางระบบนิเวศทางทะเลที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและจากปัญหามลพิษทางทะเล
15.เรื่อง (ร่าง) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางไซเบอร์และดิจิทัลระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลออสเตรเลีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางไซเบอร์และดิจิทัลระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลออสเตรเลีย (Memorandum of Understanding on Cyber and Digital Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Australia) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ ดศ. ดำเนินการได้โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว
(โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลียระหว่างวันที่ 2 – 3 กันยายน 2561)
สาระสำคัญร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางไซเบอร์และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจของสองประเทศ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมถึงนโยบายระดับชาติแนวทางและกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยในโลกไซเบอร์และเศรษฐกิจดิจิทัล การเสริมสร้างขีดความสามารถและการสร้างความตระหนักด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภูมิภาค ทั้งในระดับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับบันทึกความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศอื่น เช่น ประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เวียดนาม ลาว และฟินแลนด์ ดังนั้น การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางไซเบอร์และดิจิทัลระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลออสเตรเลียฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการสร้างเสถียรภาพทางไซเบอร์ รวมถึงเพิ่มโอกาสในด้านความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรืองด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับพันธกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะหน่วยงานหลักในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ลงนามเป็นระยะเวลา 2 ปี และสามารถต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ออกไปได้ตามความยินยอมของคู่ภาคี
16.เรื่อง บันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission: EEC)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission: EEC)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ EEC ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษารัสเซีย
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พณ. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่าสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union: EAEU) ได้เสนอให้ไทยพิจารณาจัดทำบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasia Economic Commission: EEC) (ประกอบด้วยสมาชิก 5 ประเทศ คือ รัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน) เพื่อเป็นช่องทางสร้างความรู้และความเข้าใจ รวมทั้งความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสาขาที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน และได้ส่งร่างบันทึกความร่วมมือฯ ดังกล่าวให้ พณ. พิจารณา โดยมีสาขาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นโยบายการค้า กฎระเบียบด้านศุลกากร กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสุขอนามัยพืช การเงิน การขนส่ง นโยบายพลังงาน อุตสาหกรรมเกษตร นโยบายแข่งขันทางการค้าและกฎระเบียบต่อต้านการผูกขาดทางการค้า อุตสาหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเศรษฐกิจแบบดิจิทัล การค้าบริการและการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดทำบันทึกความร่วมมือฯ ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก EAEU และเป็นการยืนยันความสนใจของไทยต่อตลาด EAEU รวมทั้งเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยน ตลอดจนสร้างความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ในอนาคต โดยไทยและ EAEU จะจัดให้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับรัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของ EAEU ณ ประเทศไทย ในช่วงระหว่างการเดินทางเยือนไทยของประธานกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย เพื่อเป็นสักขีพยานการลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2561
17.เรื่อง การจัดทำและลงนามร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทย สำหรับการลงนามในการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 30 – 31 สิงหาคม 2561 ณ ประเทศเนปาล
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้ วท. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
3. มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับผู้ลงนามในข้อ 2
สาระสำคัญของเรื่อง
วท. รายงานว่า
1. BIMSTEC มีสมาชิกทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมโอกาสด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความช่วยเหลือระหว่างประเทศสมาชิกในรูปแบบการฝึกอบรม การค้นคว้าวิจัย และการกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อใช้ประโยชน์จากภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในสาขาต่าง ๆ โดยในสาขาเทคโนโลยีมีประเทศศรีลังกาเป็นประเทศนำ (Lead Country)
2. ในการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 – 14 พฤศจิกายน 2551 ณ ประเทศอินเดีย ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC และในการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 21 – 22 พฤศจิกายน 2560 ณ ประเทศศรีลังกา ที่ประชุมเห็นชอบต่อร่างเอกสารจำนวน 2 ฉบับ ดังนี้ 1) ร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC สำหรับลงนามในการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 4 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 -31 สิงหาคม 2561 ณ ประเทศเนปาล และ 2) ร่างเอกสารค่าใช้จ่ายการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC
สำหรับร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้ BIMSTEC มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานของศูนย์ฯ โดยจะจัดตั้ง ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา และประเทศสมาชิกจะแต่งตั้งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารของศูนย์ฯ วาระ 3 ปี เพื่อร่วมกำหนดนโยบาย กลไก แผนงานและดำเนินการกับศูนย์ฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งมุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ระหว่างประเทศสมาชิก ใน 14 สาขา ได้แก่ (1) เทคโนโลยีชีวภาพ (2) นาโนเทคโนโลยี (3) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (4) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ (5) เทคโนโลยีการเกษตร (6) เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร (7) เทคโนโลยีเภสัชกรรม (8) ระบบอัตโนมัติ (9) เทคโนโลยีพลังงานใหม่และพลังงานหมุนเวียน (10) สมุทรศาสตร์ (11) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ (12) เทคโนโลยีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะมูลฝอย (13) เทคโนโลยีสุขภาพ และ (14) เทคโนโลยีลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการตีความและ/หรือการดำเนินการตามความตกลงฉบับนี้จะถูกระงับอย่างฉันมิตรด้วยการปรึกษาหารือและ/หรือการเจรจาด้วยหลักสุจริต ปราศจากการอ้างถึงบุคคลที่สามหรือศาลระหว่างประเทศ ทั้งนี้ บทบัญญัติใด ๆ ของความตกลงฉบับนี้อาจได้รับการแก้ไขโดยความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรร่วมกันของประเทศสมาชิกและจะมีผลบังคับใช้เมื่อกระบวนการที่จำเป็นทั้งหมดของประเทศสมาชิกเสร็จสิ้น
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ สรุป ดังนี้
1. ประเทศไทยมีโอกาสร่วมกำหนดนโยบาย กลไก และแผนงานที่มีประสิทธิภาพในการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของประเทศได้
2. การสร้างโอกาสของประเทศไทยในการขยายเครือข่ายและเจรจาความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ
3. การสร้างโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับนโยบาย แผนงานและรูปแบบการสนับสนุน และพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยีของประเทศสมาชิกในด้านการสรรหาเทคโนโลยี การประเมินผลเทคโนโลยี การประเมินตลาดและการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิก
4. ผู้เชี่ยวชาญไทยมีโอกาสเข้าร่วมศึกษาทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น พืชผักผลไม้ พืชสมุนไพรในประเทศศรีลังกา อินเดีย ภูฏาน ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกเป้าหมายที่ไทยสนใจริเริ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (bioeconomy) ที่จะสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ และต่อยอดองค์ความรู้ การพัฒนางานวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรสู่ตลาดโลก เป็นต้น
5. การบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อสร้างเครือข่ายฝ่ายไทยเข้าร่วมกิจกรรม โครงการภายใต้ศูนย์ฯ เพื่อมุ่งพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ของบุคลากรไทย ให้ยกระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี
6. ผู้เชี่ยวชาญไทยสามารถเข้าร่วมบริหารงานของศูนย์ฯ ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวิชาการแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้
7. การรักษาบทบาทนำของประเทศไทยในกรอบพหุภาคี BIMSTEC
แต่งตั้ง
18.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการในตำแหน่งและไม่ก่อนวันที่คณะกรรมการมีมติให้ผลงานผ่านการประเมิน จำนวน
2 ราย ดังนี้
1. นายปรีชา สุขกล่ำ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการลุ่มน้ำ (วิศวกรชลประทานเชี่ยวชาญ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2561
2. นายกษิเดช สุรจิรชาติ ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางสาวยุวดี พัฒนวงศ์ นักวิชาการอาหารและยาเชี่ยวชาญ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์และการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20.เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน
2. นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
3. นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ
4. นายอภิชาติ อภิชาตบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมณ์ พรหมรส ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง นายนิยม เติมศรีสุข ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการศาสนา
2. นายชาย นครชัย รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
3. นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอรับโอน พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร ข้าราชการทหาร ตำแหน่ง ผู้ชำนาญการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และ ก.พ. มีมติอนุมัติให้ข้าราชการดังกล่าวซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติต่างไปจากคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งนักบริหารระดับสูง เพื่อให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณารับโอนมาบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เป็นกรณีเฉพาะราย
25.เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแต่งตั้ง นายก้องศักด ยอดมณี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
26.เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ประธานกรรมการ
2. นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน
3. นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
4. นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์
5. นางสาวสิบพร ถาวรฉันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
6. นายวิริยะ อุปัติศฤงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมศาสตร์
7. นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป
27.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน นางดวงตา ตันโช ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
28.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้โอน นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ รองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปรับราชการทางสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดปัตตานี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี