วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี 2549 นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทย ประจำปี 2551ได้เขียนเฟซบุ๊คส่วนตัว Apiwat Mutirangura แสดงความคิดเห็นกรณี เจ้าหน้าที่และพนักงาน ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลุกขึ้นต่อต้านการบริหารงานของ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่อ้างว่า ไร้จริยธรรม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะประเด็นการลดงบประมาณลงกว่า 30% ว่าส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง
โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ดร. อภิวัฒน์ ระบุไว้ดังนี้
๒๙ พ.ค. ๒๕๕๖
การลดงบประมาณประจำปีของ สวทช เป็นพันล้าน สังคมไทยอาจจะมองไม่เห็นผลเสียชัดเจนแต่ในความเป็นจริง การตัดงบครั้งนี้เป็นการส่งผลเสียร้ายแรงเป็นการทำให้ประเทศชาติล้าหลังในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างที่ไม่อาจแก้ไขได้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างก้าวกระโดดแต่ในทางชีวิตจริง คุณค่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะส่งผลให้สังคมเห็นก็ต่อเมื่องานวิจัยนั้นๆประสบความสำเร็จแล้วและในทางกลับกันสังคมจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้สูญเสียศักยภาพอะไรลงไปจากการไม่มีการวิจัย
การไม่สนับสนุน“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” คือการฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่ง ผมอยากให้ลองมองรอบๆตัวเราแล้วมองหาสิ่งที่ไม่ใช่“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ก็จะพบว่า ไม่มีผมยืนยันได้ว่าถ้าเรามองรอบๆตัวเราใน ๑๐ ปีข้างหน้า “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” รอบๆตัวเราก็ไม่ใช่เรื่องเดิมลองกลับมามองรอบตัวเราอีกครั้งหนึ่ง แล้วมองชิ้นงานทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซักหนึ่งชิ้นเช่น โทรศัพท์มือถือ แล้วลองจินตนาการว่า ถ้าไม่มีการสร้าง โทรศัพท์มือถือ แล้วจะเป็นยังไงผมเชื่อว่าทุกคนก็จะรู้สึกได้ว่าสังคมโลกจะเป็นสังคมที่ด้อยพัฒนาทั้งทาง เศรษฐกิจและสังคมแต่คงพอจะเดาได้ว่าในโลกที่จินตนาการที่ไม่มี มือถือ โลกนั้นๆจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้ขาดอะไรไปเช่น เดียวกับ การลดงบประมาณประจำปีของ สวทชสังคมไทยคงไม่เคยรู้ตัวและอาจไม่มีวันได้รับรู้ว่า ประเทศชาติได้สูญเสียอะไรไปถึงแม้ว่าการสูญเสียครั้งนี้เป็นการสูญเสียที่มากมายเกินกว่าจะคาดการก็ตาม
ทำไมการพัฒนาทาง“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ในประเทศไทยจึงล้าหลัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน ในช่วงเวลา ๒๐ ปี “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ของไทยโดยรวมเป็นที่ ๒ รองจาก สิงคโปร์ และกำลังจะเป็นที่ ๓ โดยมี มาเลเซียแซงในแล้วในช่วง๓ ถึง ๔ ปีที่ผ่านมา สาเหตุของการเสื่อมถอยของ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ของไทยเกิดจาก การสนับสนุนที่ลดลงของภาครัฐ และ การไม่สนับสนุน “งานวิจัยพื้นฐาน” หรือ “basicresearch” เพราะภาครัฐ และ สังคมมองไม่เห็นคุณค่าส่งผลทำให้งานวิจัยของไทยส่งผลแต่ประโยชน์ในระยะเวลาสั้น แคบ และไม่ก้าวกระโดดผมรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญ กับการไม่เข้าใจถึงคุณค่าของ “งานวิจัยพื้นฐาน” ที่มักจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นงานวิจัย “แบบขึ้นหิ้ง” เสมอๆ ส่งผลให้สังคมเข้าใจว่าเป็นงานวิจัยที่นักวิจัยทำนั้นทำเพื่อตีพิมพ์แต่นำไปใช้จริงไม่ได้ ความเข้าใจแบบผิดๆนี้ทำให้ประเทศไทยไม่มี “งานวิจัยพื้นฐาน” และผลที่ตามมาคือขาด การพัฒนาทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”แบบก้าวกระโดด ผมอยากให้กลับมามอง คุณค่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่รอบๆตัวเรา ก็จะพบว่าไม่มีการพัฒนา แบบก้าวกระโดด งานใดเลยที่ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจาก “งานวิจัยพื้นฐาน” เช่นการสร้างยารักษามะเร็งตัวใหม่ๆนักวิจัยต้องศึกษาการทำงานของยีนมะเร็งก่อนถึงจะสร้างยารักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้าได้เป็นต้น ถ้าสังคมยังปล่อยให้นักวิจัยไทยไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำ “งานวิจัยพื้นฐาน” และปล่อยให้มีการตัดลดงบประมาณวิจัยอยู่อย่างที่เป็นอยู่ อีกไม่นานเกินรอ เราคงสามารถแข่งขันและพัฒนาทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”กับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น พม่า ลาว และ กัมพูชา ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี