ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี 2549 นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทย ประจำปี 2551ได้เขียนเฟซบุ๊คส่วนตัว Apiwat Mutirangura แสดงความคิดเห็นกรณี เจ้าหน้าที่และพนักงาน ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลุกขึ้นต่อต้านการบริหารงานของ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่อ้างว่า ไร้จริยธรรม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะประเด็นการลดงบประมาณลงกว่า 30% ว่าส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง
โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ดร. อภิวัฒน์ ระบุไว้ดังนี้
๒๙ พ.ค. ๒๕๕๖
การลดงบประมาณประจำปีของ สวทช เป็นพันล้าน สังคมไทยอาจจะมองไม่เห็นผลเสียชัดเจนแต่ในความเป็นจริง การตัดงบครั้งนี้เป็นการส่งผลเสียร้ายแรงเป็นการทำให้ประเทศชาติล้าหลังในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างที่ไม่อาจแก้ไขได้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างก้าวกระโดดแต่ในทางชีวิตจริง คุณค่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะส่งผลให้สังคมเห็นก็ต่อเมื่องานวิจัยนั้นๆประสบความสำเร็จแล้วและในทางกลับกันสังคมจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้สูญเสียศักยภาพอะไรลงไปจากการไม่มีการวิจัย
การไม่สนับสนุน“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” คือการฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่ง ผมอยากให้ลองมองรอบๆตัวเราแล้วมองหาสิ่งที่ไม่ใช่“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ก็จะพบว่า ไม่มีผมยืนยันได้ว่าถ้าเรามองรอบๆตัวเราใน ๑๐ ปีข้างหน้า “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” รอบๆตัวเราก็ไม่ใช่เรื่องเดิมลองกลับมามองรอบตัวเราอีกครั้งหนึ่ง แล้วมองชิ้นงานทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซักหนึ่งชิ้นเช่น โทรศัพท์มือถือ แล้วลองจินตนาการว่า ถ้าไม่มีการสร้าง โทรศัพท์มือถือ แล้วจะเป็นยังไงผมเชื่อว่าทุกคนก็จะรู้สึกได้ว่าสังคมโลกจะเป็นสังคมที่ด้อยพัฒนาทั้งทาง เศรษฐกิจและสังคมแต่คงพอจะเดาได้ว่าในโลกที่จินตนาการที่ไม่มี มือถือ โลกนั้นๆจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้ขาดอะไรไปเช่น เดียวกับ การลดงบประมาณประจำปีของ สวทชสังคมไทยคงไม่เคยรู้ตัวและอาจไม่มีวันได้รับรู้ว่า ประเทศชาติได้สูญเสียอะไรไปถึงแม้ว่าการสูญเสียครั้งนี้เป็นการสูญเสียที่มากมายเกินกว่าจะคาดการก็ตาม
ทำไมการพัฒนาทาง“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ในประเทศไทยจึงล้าหลัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน ในช่วงเวลา ๒๐ ปี “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ของไทยโดยรวมเป็นที่ ๒ รองจาก สิงคโปร์ และกำลังจะเป็นที่ ๓ โดยมี มาเลเซียแซงในแล้วในช่วง๓ ถึง ๔ ปีที่ผ่านมา สาเหตุของการเสื่อมถอยของ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ของไทยเกิดจาก การสนับสนุนที่ลดลงของภาครัฐ และ การไม่สนับสนุน “งานวิจัยพื้นฐาน” หรือ “basicresearch” เพราะภาครัฐ และ สังคมมองไม่เห็นคุณค่าส่งผลทำให้งานวิจัยของไทยส่งผลแต่ประโยชน์ในระยะเวลาสั้น แคบ และไม่ก้าวกระโดดผมรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญ กับการไม่เข้าใจถึงคุณค่าของ “งานวิจัยพื้นฐาน” ที่มักจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นงานวิจัย “แบบขึ้นหิ้ง” เสมอๆ ส่งผลให้สังคมเข้าใจว่าเป็นงานวิจัยที่นักวิจัยทำนั้นทำเพื่อตีพิมพ์แต่นำไปใช้จริงไม่ได้ ความเข้าใจแบบผิดๆนี้ทำให้ประเทศไทยไม่มี “งานวิจัยพื้นฐาน” และผลที่ตามมาคือขาด การพัฒนาทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”แบบก้าวกระโดด ผมอยากให้กลับมามอง คุณค่าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่รอบๆตัวเรา ก็จะพบว่าไม่มีการพัฒนา แบบก้าวกระโดด งานใดเลยที่ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจาก “งานวิจัยพื้นฐาน” เช่นการสร้างยารักษามะเร็งตัวใหม่ๆนักวิจัยต้องศึกษาการทำงานของยีนมะเร็งก่อนถึงจะสร้างยารักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้าได้เป็นต้น ถ้าสังคมยังปล่อยให้นักวิจัยไทยไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำ “งานวิจัยพื้นฐาน” และปล่อยให้มีการตัดลดงบประมาณวิจัยอยู่อย่างที่เป็นอยู่ อีกไม่นานเกินรอ เราคงสามารถแข่งขันและพัฒนาทาง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”กับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น พม่า ลาว และ กัมพูชา ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี