หมอพรทิพย์ฟันธง
ฆ่าเอกยุทธ
ฆาตกรรมอำพราง
เหมือนคดีอุ้มทนายสมชาย
ตร.ล่าไอ้เบิ้มปิดคดีชิงทรัพย์
เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 13 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทีมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินชื่อดังและเจ้าของเว็ปไซต์ไทยอินไซเดอร์ ประกอบด้วย นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือ”บอล” คนขับรถนายเอกยุทธ นายชวลิต วุ่นชุมและนายทิวากร เกื้อทอง รวมทั้งจ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง และนางจิตรอำไพ เพ็งด้วง พ่อและแม่ของนายสันติภาพ เดินทางจากจ.พัทลุงมาถึงที่สน.วังทองหลางเพื่อทำการสอบปากคำและทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
แยกสอบเครียดทีมอุ้มฆ่าเอกยุทธ
เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด แยกกันสอบคนละห้อง ใช้เวลาสอบจนถึง 6 โมงเช้า โดยมีทนายความจากสภาทนายความร่วมฟังการสอบปากคำด้วย พร้อมตรวจสอบของกลางที่ยึดได้โดยเป็นเงินสดที่นายสันติภาพนำไปฝากไว้กับนางจิตรอำไพ และจ.ส.อ.อิทธิพลมารับนำไปซุกซ่อนตามบ้านญาติ เป็นเงินสด 4,242,000 บาท จอบ 2 อัน ท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว ยาว 1 เมตรที่ใช้บรรจุเงินนำไปฝังดินจำนวน 1 ท่อน และวัตถุพยานหลักฐานต่างๆอีกจำนวนมาก
เค้นถึงเข้าส่งฝากขังสน.หัวหมาก
สำหรับบรรยากาศการสอบปากคำเป็นไปด้วยความเคร่งครัด โดยช่วงต้นของการสอบปากคำนั้น นายสันติภาพขอพบจ.ส.อ.อิทธิพลผู้เป็นพ่อเจ้าหน้าที่ก็ยอมให้พบ เป็นเวลา 30 นาทีก่อนจะนำตัวจ.ส.อ.อิทธิพลแยกไปสอบ โดยมีนายทหารพระธรรมนูญร่วมสอบปากคำด้วย ต่อมาเวลา 06.00 น. หลังสอบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสันติภาพ จ.ส.อ.อิทธิพล นางจิตรอำไพเข้าห้องขังของสน.วังทองหลาง ส่วนนายชวลิตและนายทิวากร เจ้าหน้าที่นำตัวแยกไปฝากขังที่สน.หัวหมาก
นาทีฆ่าเหยื่อโดดรถหนีแต่ไปรอด
จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้ก่อเหตุฆ่านายเอกยุทธ ที่บริเวณสะพานใกล้กับหมู่บ้านย่านลาดกระบัง โดยนายสันติภาพกับนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือ”เบิ้ม”ซึ่งยังหลบหนีการจับกุมอยู่ ได้ปรึกษาแผนการหลังจากได้เงินสดมา 5 ล้านบาท ในรถโฟล์ค ระหว่างนั้นนายเอกยุทธได้เห็นกลุ่มผู้ต้องหาเผลอจึงได้หนีออกจากรถทางประตูหลังและโดดสะพาน
ซัด”ไอ้เบิ้ม”โหดใช้รองเท้ารัดคอ
แต่ถูกกลุ่มคนร้ายติดตามจับตัวไว้ได้ เพราะนายเอกยุทธถูกใส่กุญแจมือ ประกอบกับโดดลงมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บ หลังตามจับตัวนายเอกยุทธไว้ได้ ก็ลากตัวกลับเข้าไปในรถ แล้วนายสุทธิพงศ์ ใช้เชือกสายรองเท้ารัดคอ ทั้งนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดมีการวางแผนกัน โดยเคยคิดจะก่อเหตุตั้งแต่ต้นปีแล้ว ระหว่างที่นายเอกยุทธจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่เผอิญตอนนั้นนายเอกยุทธไปกับเพื่อน จึงต้องล้มเลิกแผนการ
สำหรับนายสันติภาพ นายชวลิต และนายทิวากร ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์และประทุษร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน กักขังหน่วงเหนี่ยว อำพรางศพ
หิ้วพ่อ-แม่ฝากขังฐานรับของโจร
ส่วนจ.ส.อ.อิทธิพลและนางจิตรอำไพ ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันรับของโจร จำนวน 4,242,000 บาทโดยเจ้าหน้าที่คุมตัวทั้งคู่ไปฝากขังต่อศาลอาญาถ.รัชดาภิเษก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. – 24 มิ.ย.นี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีสำคัญสะเทือนขวัญ ต่อมาญาติผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดเพื่อขอปล่อยชั่วคราว ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสองไปโดยตีราคาประกันรายละ 100,000 บาท
ภายหลังศาลให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาทั้งสองได้ออกจากศาลกลับโดยทันทีในเวลา 16.30 น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ
ผ่าพิสูจน์ยืนยันศพ”เอกยุทธ”
ก่อนหน้านี้เวลา 09.15 น. วันเดียวกัน ที่สถาบันนิติเวชวิทยา ร.พ.ตร. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำศพนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่ถูกขุดพบในพื้นที่ จ.พัทลุงเดินทางจากพัทลุงมายังสถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อผ่าพิสูจน์ ชันสูตรยืนยันเอกลักษณ์อย่างละเอียดว่าเป็นนายเอกยุทธหรือไม่ รวมทั้งหาสาเหตุการเสียชีวิต
นิติเวชยันถูกใส่กุญแจมือก่อนฆ่า
พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร.แถลงว่า ผลการตรวจสอบลายนิ้วมือจากศพ ยืนยันได้แล้วว่าเป็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตร จริง โดยพบรอยช้ำบริเวณข้อมือ สอดคล้องกับคำให้การของผู้ต้องหาที่ระบุว่ามีการใส่กุญแจมือนายเอกยุทธ ส่วนที่ลำคอมีการบีบรัด ทำให้ขาดอากาศหายใจเป็นเหตุให้เสียชีวิต และใบหน้ามีรอยคาดเชือกคาดอยู่ รวมทั้งยังพบรอยช้ำอย่างรุนแรงบริเวณส้นเท้าซ้าย จากการกระโดดหนีลงมาจากสะพานกลับรถย่านร่มเกล้าตามที่ผู้ต้องหาให้การ และจากสภาพศพที่พบ เชื่อว่านายเอกยุทธ เสียชีวิตมาประมาณ 5 วัน
รถตู้ถูกทำความสะอาดก่อนโดนจับ
พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบหลักฐานอื่นๆ ทั้งที่พบบนรถของนายเอกยุทธ บ้านที่ถูกกักตัว เงินของกลาง รวมทั้งเศษกระดุมเสื้อ และเชือกที่พบในหลุมศพไปตรวจสอบอย่างละเอียดประกอบสำนวนคดีอีกครั้งว่าเป็นเชือกผูกรองเท้าตรงกับที่ผู้ต้องหาอ้างว่าใช้รัดคอนายเอกยุทธหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในรถตู้พบร่องรอยการต่อสู้หรือไม่ พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า ตอนที่ตำรวจได้รถมา รถตู้คันนี้ผ่านการเช็ดถูทำความสะอาดมาแล้ว แต่ก็ยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่เก็บได้อยู่ ทั้งขวดน้ำ หรือร่องรอยอื่นๆ เป็นต้น แต่ยังบอกไม่ได้ว่าภายในรถตู้คันนี้มีร่อยรอยของบุคคลอื่นๆ อยู่กี่คน
ส่วนพล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ กล่าวว่า ศีรษะไม่มีร่องรอยบาดแผล และอวัยวะไม่พบว่ามีกระดูกหัก ส่วนอวัยวะภายในปกติ ไม่พบเศษอาหารในกระเพาะอาหาร แต่แพทย์ได้เก็บตัวอย่างอวัยวะภายในร่างกายเพื่อหาสารพิษอย่างละเอียด
พี่เอกยุทธเชื่อทีมฆ่ามีมากกว่านี้
กระทั่งเวลา 16.00 น.นายอัครนันทร์ เรืองนันทวงษ์ อายุ 55ปี และนายก้องการุณ ศรีประสาน อายุ 33 ปี พี่ชายและบุตรชายนายเอกยุทธ ได้รับศพนายเอกยุทธ เพื่อนำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนา ที่วัดลาดพร้าว ศาลา 6 โดยญาติจะตั้งศพสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 วัน ก่อนที่จะทำพิธีฌาปนกิจต่อไป
นายอัครนันท์ กล่าวสั้นๆว่าส่วนตัวเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมีมากกว่านี้ และเชื่อว่านายสันติภาพ คนขับรถไม่น่าจะกล้าลงมือทำขนาดนี้ สำหรับสำหรับธุรกิจทุกอย่างของนายเอกยุทธ รวมทั้งเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ยังคงดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดนั้นเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ไม่สามารถเข้าชมเนื้อหาที่มีอยู่ในเว็บไซต์ได้แล้ว
ผบ.ตร.สรุปคดี”ฆ่าชิงทรัพย์”
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร รองผบ.ตร. เดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าคดีฆ่านายเอก โดยมีพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องพร้อมชุดสืบสวนเข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที
จากนั้นพล.ต.อ.อดุลย์ แถลงว่า ขณะนี้พบศพนายเอกยุทธแล้ว และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คนโดยรับสารภาพทั้งหมด รวมถึงพบเงินของกลางที่ได้มาราว 4 ล้านบาททั้งนี้มีพยานที่ยืนยันได้ว่าคดีนี้มีมูลเหตุจงใจเรื่องการชิงทรัพย์และมีการวางแผนมาก่อนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามจากการติดตามคดีพบว่ามีพฤติกรรมก่อเหตุในหลายพื้นที่ ทั้งในส่วนของนครบาลไปถึงกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 จึงได้มอบหมายให้พล.ต.อ.ปานศิริ เป็นประธานสอบสวนในคดีนี้
เมื่อถามถึงปมเซิฟร์เวอร์จากกล้องวงจรปิดที่คนร้ายอ้างว่านำไปด้วยนั้นพล.ต.อ.อดุลย์ ตอบเลี่ยงว่า”พอแล้วๆ “
“ปานศิริ”อ้างพยานหลักฐานชัดเจน
เช่นเดียวกับพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร รองผบ.ตร. ก็ออกมาย้ำว่าจากพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ทั้งหมดยังเป็นประเด็นประสงค์ต่อทรัพย์อยู่ แต่ได้มอบให้บก.ป.ไปตรวจสอบเรื่องแรงจูงใจ และหาข้อมูลในประเด็นต่างๆ เพื่อหาสาเหตุการลงมือ และจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์กันอีกครั้ง ซึ่งจะมีการหารือกับญาตินายเอกยุทธในเร็วๆนี้ด้วย
ผบช.น.ยันยังไม่ได้ตัว “เบิ้ม”
ส่วนพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว”ไอ้เบิ้ม”ไว้แล้วว่า ตำรวจยังไม่ได้ตัวแต่จากการสอบสวนและพยานหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องทำให้เชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งหมดก่อเหตุโดยประสงค์ต่อทรัพย์ โดยผู้ต้องหายืนยันตรงกันทั้ง 3 คนว่าร่วมกันฆ่านายเอกยุทธเพื่อชิงทรัพย์ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเชื่อมโยงใครต่อใคร ส่วนเซิฟร์เวอร์ของกล้องวงจรปิดที่คนร้ายเอาไปด้วยก็ยังหากันอยู่และต้องสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย
คาดยังกบดานอยู่ในพื้นที่กทม.
“ถ้าได้ตัวนายเบิ้มมาจะดีมาก ผมอยากได้ตัวมาให้เร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ถูกซัดทอดว่าเป็นคนฆ่านายเอกยุทธ และจะได้สามารถยืนยันคำให้การของผู้ต้องหาอีก 3 คนที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ว่ามีความจริงแค่ไหน รวมถึงจะได้พิสูจน์ทราบต่อไปให้เกิดความกระจ่าง ขณะนี้ตำรวจกำลังพยายามเต็มที่เพื่อเอาตัวมา และคาดว่านายเบิ้มน่าจะอยู่ในกรุงเทพมหานคร ไม่น่าจะหนีออกนอกประเทศ” ผบช.น. กล่าว
นำตัวแก๊งอุ้มไปทำแผนสารภาพ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวนายสันติภาพ และพวกไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในจุดต่างๆเริ่มตั้งแต่ที่ร้านกระแต ถนนประดิพัทธ์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประตู 8 ที่ผู้ต้องหาขับรถตู้โฟล์กมารับเช็ค และส่งมอบเช็คที่มีลายเซ็นของนายเอกยุทธ ให้ไปเบิกเงินสด 5 ล้านบาท ก่อนรอรับเงินจากเสมียนที่ขับรถเก๋งมาจอดด้านหลัง จากนั้นขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านพักย่านฉลองกรุงกระทั่งนายเอกยุทธเสียชีวิต
เมียไอ้เบิ้มขึ้นกรุงตามผัวมอบตัว
ข่าวแจ้งว่า ตำรวจชุดสืบสอบสวนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 206 หมู่ 9 ต.นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร อายุ 27 ปี หรือ” ไอ้เบิ้ม” แต่ไม่พบตัว เจอพียงนายสุพจน์ พิมพิสาร อายุ 60 ปี บิดาเพียงลำพัง โดย นายสุพจน์ ให้การกับตำรวจว่า นางชลกร พิมพิสาร ภรรยากำลังเดินทางขึ้น กทม.เพื่อติดตามตัวนายสุทธิพงศ์ ขอให้เข้ามอบตัวกับตำรวจ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบเรื่อง เนื่องจากบุตรชายไม่เคยติดต่อมาที่บ้านทราบเพียงว่าไปประกอบอาชีพทำกรงนกขายที่ กทม.
แกะรอยผู้ต้องสงสัยอีก1คน
หลังจากนั้นตำรวจชุดเดียวกัน ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 13 หมู่ที่ 6 ต.พนมวังค์ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของนายพีระกานต์ สงขาว อายุ 26 ปี ผู้ต้องสงสัยอีกคน แต่ไม่มีคนอยู่ บ้านสอบถามเพื่อนบ้านทราบว่า เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นบิดาของนายพีรกานต์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติราชการอยู่ในจังหวัดภูเก็ต นานครั้งจึงจะกลับมาบ้าน ส่วนตัวของนายพีรกานต์ไม่เคยเห็น
สำหรับนายพีรกานต์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าจะร่วมในขบวนการอุ้มฆ่า นายเอกยุทธ ตามแนวทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ นายสันติภาพ ได้โทรศัพท์ชักชวนให้ร่วมขบวนการ และในแนวการสอบสวนมีการอ้างถึงนายพีรกานต์ ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครในคดีดังกล่าว แต่สุดท้ายไม่มีการกล่าวอ้างถึง
“พรทิพย์”ชี้คล้ายคดีอุ้มทนายสมชาย
ในขณะที่พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายว่า คดีหาตกรรม นายเอกยุทธ ไม่ได้แตกต่างจากคดีของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน เพราะยังไม่รู้ประเด็นว่าคืออะไร และผู้ตายไม่ใช่ประชาชนธรรมดา ที่ไม่เคยมีเรื่องกับอำนาจรัฐ
"ถ้าพูดกันตรงๆ นายเอกยุทธถือเป็นตัวอย่างของคนที่สู้กับอำนาจรัฐ จะเป็นฝั่งอะไรก็ช่าง แต่เมื่อมีการตาย เจ้าหน้าที่รัฐและการเมืองต้องระวัง ระวังต่อการเข้าไปก้าวก่าย ระวังต่อการที่ทำให้เห็นได้ว่ามันมีการดำเนินการไม่สุด"พญ.พรทิพย์กล่าว
ฟันธงเป็น”ฆาตกรรคมอำพราง”
ทั้งนี้ หลักการในต่างประเทศซึ่งเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่จะไม่มีการผูกขาดอำนาจอย่างในประเทศไทยเช่นปัจจุบัน โดยผู้ตรวจเก็บพยานหลักฐาน ผู้ตรวจพิสูจน์ และผู้ทำสำนวนต้องไม่เป็นหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันผู้ดำเนินการเกี่ยวกับคดีดังกล่าวเกี่ยวพันกับตำรวจ และผู้ถืออำนาจรัฐทั้งหมด ซึ่งทำให้ประชาชนครหาได้ว่าปัจจุบันรัฐไทยเป็นรัฐตำรวจ
นอกจากนี้ เท่าที่ตนเห็นจากสื่อทำให้เกิดความเป็นห่วง เพราะคดีนี้ถือเป็นฆาตกรรมอำพราง ซึ่งตำรวจไม่ควรสืบทางโทรทัศน์ ซึ่งตำรวจจับผู้ต้องหามาแถลงทีนึง เมื่อมีผู้ต้องสงสัยก็กลับไปหาหลักฐานมาเพิ่มอีกที ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
งง!ตร.ไม่สนใจสอบปมใช้มือถือ
ประเด็นต่อมาคือ ข้อมูลและหลักฐานอื่นๆ เช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่กลับไม่ทำให้ปรากฎออกมาทั้งนี้ แม้ทางญาติของผู้เสียชีวิตอยากให้ตนเข้าไปตรวจสอบคดีนี้เพิ่มเติมเหมือนในอดีต ตนก็คงทำไม่ได้เนื่องจากบทบาทของตนเองในปัจจุบันคือผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แม้จะมีสถานะของความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์อยู่ก็ตาม
ทนายสุวัตรโวยตร.ชิงปิดคดี
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้ตำรวจกำลังพยายามที่จะสรุปและปิดคดีว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์นั้น ซึ่งตนไม่เชื่อโดยเด็ดขาด เพราะพฤติการณ์นายสันติภาพ เพ็งด้วง ผู้ต้องหาไม่สามารถกระทำเองได้คนเดียวอย่างแน่นอน อีกทั้งคดียังมีเงื่อนงำที่ตำรวจยังปกปิดอยู่ เช่น เซิฟร์เวอร์ล้องวงจรปิดที่หายไป เบอร์โทร.ที่นายเอกยุทธคุยก่อนถูกอุ้มฆ่า หลักฐานเหล่านี้ตำรวจไม่ชี้แจง
ฉะไม่เชื่อคำพูดเหลิมขี้ข้าทักษิณ
“ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯบอกว่าไม่มีการเชื่อมโยงกับการเมืองนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะคนที่มาพูดนั้นไม่มีน้ำหนักและไม่มีความน่าเชื่อถือ เขาก็บอกอยู่แล้วว่าเขาเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ถามว่าใครจะเชื่อ ยืนยันว่าคดีนี้นายเอกยุทธไม่ได้เสียชีวิตเพราะการถูกฆ่าชิงทรัพย์อย่างแน่นอน”นายสวุวัฒน์ กล่าว
ปูดตำรวจล็อคตัวไอ้เบิ้มได้แล้ว
และว่าขณะนี้มีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุม “นายเบิ้ม” ได้แล้ว แต่คาดว่าตำรวจคงยังไม่อยากเปิดเผย ส่วนทางญาตินายเอกยุทธตอนนี้รู้สึกกลัวมาก รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต และเศร้าโศกเสียใจต่อการเสียชีวิตของนายเอกยุทธเป็นอย่างมาก สำหรับตนจะรวบรวมพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อสู้คดีทางกฎหมายต่อไปเพราะเชื่อคดีนี้มีเงื่อนงำแน่นอน
“เฉลิม”รู้อีกเดี๋ยวไอ้เบิ้มมอบตัว
ขณะที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าคดีนี้ตำรวจทำได้ค่อนข้างเบ็ดเสร็จแล้วว่าเหตุจูงใจมาจากฆ่าชิงทรัพย์ แต่ถ้าใครมีหลักฐาน หรือทนายของนายเอกยุทธมีหลักฐานหรือเบาะแสก็ส่งให้ตนได้ ซึ่งตนจะไปบอกผบ.ตร. และผบช.น.ว่าอย่าเพิ่งรีบปิดคดีนี้ ส่วนนายเบิ้มที่กำลังหลบหนีอยู่มีคดีอยู่นั้น ตนเชื่อว่าสุดท้ายหนีไม่รอด ต้องมามอบตัว
"เสธ.ไอซ์" เปิดใจไม่เกี่ยวข้อง
ทางด้านพล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ "เสธ.ไอซ์" อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ได้กล่าวผ่านเว็ปไซต์”ไทยรัฐออนไลน์” ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการตายของนายเอกยุทธ มีเหตุจูงใจอะไรที่จะไปทำแบบนั้น เรื่องนี้อ่านเกมง่ายๆ เขาจะพยายามโยงมาเป็นประเด็นการเมืองและรัฐบาลเพราะตนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นตท.10 ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถ้าใครยังพาดพิงตนก็จะฟ้องร้องให้หมด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี