วันที่ 10 เม.ย. 57 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะพยานเพิ่มเติม ฝ่ายผู้ถูกร้องคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ในการชี้แจง

ต่อมาเวลา 17.00 น. นายนิวัฒน์ธำรง ได้กล่าวภายหลังการเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่า โครงการรับจำนำเป็นโครงการที่มีอยู่เดิมมา ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อปี 2536 และได้ปฏิบัติกันมาหลายรัฐบาล เพียงแต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้ความสำคัญที่ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบโครงการถึง 12 ชุด เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพและป้องกันทุจริต อีกทั้งเคยมอบหมายให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตตั้งแต่ต้นปี 2555 รวมแล้วขณะนี้มีคดีอยู่ในการสืบสวน 104 คดี จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ปล่อยปละละเลย ให้มีการทุจริตตามที่กล่าวหา

ขณะที่ในส่วนการขาดทุนและความเสียหาย กว่า 2 แสนล้านบาท ตามที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ ไม่ตรงกับข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มูลค่าการขาดทุนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ตามที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีอ้างไว้

พร้อมยืนยันว่า โครงการแม้จะขาดทุน แต่หากเทียบประโยชน์ด้านต่างๆ ที่ได้ ทั้งความเป็นอยู่เกษตรกร และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ถือว่ามีความคุ้มค่า ซึ่งโครงการในลักษณะนี้ เป็นโครงการทางสังคมที่ย่อมมีการขาดทุน ไม่ใช่โครงการเชิงธุรกิจ อีกทั้งไม่ได้มีผลกระทบร้ายแรงต่อวินัยทางการเงินการคลัง เพราะระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ที่ร้อยละ 45 – 46 จากที่ตั้งกรอบไว้ ถึงร้อยละ 60 และยืนยันว่าไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องยุติโครงการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11(1) จากเหตุผลทั้งหมด จึงถือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้กระทำผิดเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

ทั้งนี้ นายนิวัฒน์ธำรง ยังแสดงความมั่นใจว่า เหตุผลที่ชี้แจงไปได้ทำดีที่สุดแล้ว จากนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ขอให้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมภายในวันที่ 25 เม.ย. นี้อีกครั้ง โดยอาจส่งมา