แต่ไหนแต่ไร..เมื่อพูดถึง “กระบวนการยุติธรรม” สำหรับคนไทยแล้วก็จะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไรนัก จนมีกระแสเรียกร้องให้ทำการปฏิรูปอยู่เนืองๆ มาทุกยุคสมัย ดังที่เราได้นำเสนอไปแล้วจากหลายเวทีเสวนา ทั้งโดยบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเอง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ และศาล หรือจากนักวิชาการด้านกฎหมาย ถึงปัญหาและความท้าทายมากมายที่รอการแก้ไข
ท่ามกลางบรรยากาศของการปฏิรูปประเทศในขณะนี้ “สกู๊ปหน้า 5” ยังคงติดตามข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ว่าด้วยปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งวันนี้เราขอนำความเห็นของ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ที่กล่าวในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อปลายเดือน มี.ค. 2557 มาฝากทุกท่านกัน
คุณภัทรศักดิ์ ในฐานะผู้พิพากษา พูดถึงปัญหากระบวนยุติธรรมไทยไว้หลายเรื่องดังนี้ 1.ความโปร่งใส ที่ไม่ครบทั้งกระบวนการ กล่าวคือแม้ในส่วนของศาลอาจจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด เพราะคำพิพากษาคดีต่างๆ มีการตีพิมพ์เผยแพร่ อธิบายเหตุผลและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แต่ในส่วนอื่นๆ เช่นชั้นของตำรวจและอัยการ อาจจะมีปัญหา เช่น ผู้ต้องหาสามารถขอตรวจสอบสำนวนคดีได้หรือไม่? รวมถึงการตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ระบบที่มีอยู่มีประสิทธิภาพแค่ไหน?
2.ถูกแทรกแซง ที่ผู้มีอิทธิพลมักทำการข่มขู่คุกคาม หรือเสนอสินจ้างรางวัลกับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา หรือกับพยานบุคคลในคดีสำคัญๆ เพื่อทำให้รูปคดีบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เป็นต้น
3.เลือกปฏิบัติ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากและสังคมไทยคุ้นเคยกันดี กับคำว่า “รู้เปล่าว่าลูกใคร?” หรือสมาชิกครอบครัวของคนใหญ่คนโตทั้งหลาย เมื่อไปทำผิดมักอ้างชื่อพ่อแม่หรือญาติเพื่อข่มขู่เจ้าหน้าที่ หรือเจรจากับคู่กรณีเพื่อขอให้ยอมความ แล้วก็มักจะได้ผลบ่อยๆ เสียด้วย ซึ่งตรงข้ามกับในประเทศที่เจริญแล้ว แม้กระทั่งลูกของผู้นำประเทศ หรือคนดังทั้งหลาย เมื่อทำผิดก็อาจติดคุก หรือถูกกักขังตามกฎหมายได้ไม่ต่างจากประชาชนคนทั่วไป
“เราคงพบเห็นข่าวหลายข่าว แม้กระทั่งคลิปใน Youtube หรือไม่กี่วันมานี้ที่ตำรวจไปเรียกรถ แล้วก็มีลูกเศรษฐีไปใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงให้เห็นว่าการมีเส้นมีสายในสังคมไทยเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง การที่ลูกรัฐมนตรีขับรถเมาสุราแล้วถูกจับ แล้วถามตำรวจว่า..รู้ไหมผมลูกใคร?..,มันไม่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คือลูกสาวหรือลูกชายประธานาธิบดีเคยโดนจับ สิ่งที่เขาทำประการแรกคือพยายามปกปิดว่าเป็นลูกใคร เขากลัวพ่อจะเสื่อมเสีย
แต่นักการเมืองของเรา ข้าราชการของเรา หรือผู้มีเส้นมีสาย มีอิทธิพลของเรา เมื่อลูกโดนจับก็จะถามทันทีว่า..รู้เปล่าผมลูกใคร?..ซึ่งถ้าผมเป็นผู้พิพากษา ผมจะตัดสินคดีว่า จากพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าจำเลยน่าจะเมาสุรา เพราะจำไม่ได้แม้กระทั่งพ่อตัวเอง เพราะถ้าจำเลยไม่เมาสุราก็คงจำพ่อตัวเองได้” ผู้พิพากษารายนี้ กล่าว
4.ค่าใช้จ่ายสูง เช่นที่พูดกันมากคือ “การประกันตัว” ที่ศาลมักเรียกหลักประกันในราคาสูง ทั้งนี้เจตนารมณ์ของเงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้ต้องการเงินหรือหลักทรัพย์จำนวนมากๆ เพียงแต่ต้องการป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนี แต่กลายเป็นว่าคนร่ำรวยไม่เคยต้องติดคุกระหว่างรอไต่สวนคดี ขณะที่คนยากจนต้องถูกจองจำก่อนเสมอแม้ว่าท้ายที่สุดจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่อง 2 มาตรฐานอย่างหนึ่งในสังคมไทย
5.ใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้ง แม้เป้าหมายของระบบกฎหมาย คือการสร้างความสงบสุขในสังคม แต่กฎหมายก็เปรียบเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่ง ที่หากผู้ใช้มีเจตนาทุจริต ย่อมแสวงหาช่องทางในกฎหมายไปเรียกรับผลประโยชน์ที่ไม่สมควรได้จากคนอื่นๆ หรือนำข้อกฏหมายไปทำลายล้างคู่แข่งขัน เป็นต้น
6.มาตรฐานกระบวนการยุติธรรม ในประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ดังที่ช่วงหลังๆ คำว่า “2 มาตรฐาน” กลายเป็นวลียอดฮิตไม่เพียงแต่คดีความเกี่ยวกับการเมืองเท่านั้น แต่ยังลามไปอีกหลายๆ เรื่อง ทั้งนี้คุณภัทรศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ไม่ว่าข้อครหานี้จะจริงหรือไม่ ก็อยากให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมพิจารณาตนเองก่อน ถ้าจริงก็ต้องปรับปรุง หรือหากไม่จริงก็ต้องต้องชี้แจงเหตุผลให้สาธารณชนรับทราบ
7.ระยะเวลาดำเนินคดี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยๆ คือบางคดีตัดสินล่าช้าจนเกินไป จนมีคำกล่าวว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าย่อมเท่ากับความไม่ยุติธรรม” แต่ขณะเดียวกัน การเร่งพิจารณาคดีเร็วเกินไปก็อาจนำไปสู่ความไม่ยุติธรรมเช่นกัน
8.ความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรในชั้นสอบสวน (ตำรวจ) อันเป็นหน่วยงานยุติธรรมระดับต้นน้ำถือว่าสำคัญมาก ผู้ปฏิบัติงานต้องมีทั้งหลักคุณธรรมและหลักประสิทธิภาพ เพาะหากกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นดังกล่าวมีปัญหาเสียแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ปลายทางจะดีได้
9.กรอบการทำงานของศาล อย่างที่ทราบกันว่าศาลไทยใช้ระบบกล่าวหาเป็นหลัก ผู้พิพากษามีหน้าที่เพียงรับฟังและพิจารณาพยานหลักฐาน และคำให้การเท่าที่โจทก์และจำเลยยกมากล่าวอ้างเท่านั้น ยกเว้นบางศาล เช่น ศาลที่พิจารณาคดีนักการเมือง จะใช้ระบบไต่สวน ตุลาการผู้พิจารณาคดีสามารถซักถามเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่โจทก์และจำเลยนำมาแสดงต่อหน้าศาลได้ อย่างไรก็ตาม คุณภัทรศักดิ์เห็นว่าควรพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป หากเป็นคดีที่คู่ความมีศักยภาพเท่ากันย่อมไม่ต้องใช้ระบบไต่สวน
สอดคล้องกับที่เราเคยนำเสนอไป กรณี “ศาลปกครอง” ที่ใช้ระบบไต่สวน ด้วยเหตุผลว่าศาลปกครองเป็นศาลรับพิจารณาคดีระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งในความเป็นจริง ประชาชนคนธรรมดาไม่มีทางเลยที่จะแสวงหาหลักฐานได้ครบถ้วนเพื่อพิสูจน์ความจริงเมื่อเทียบกับบุคลากรของรัฐ
ตามที่มีผู้เปรียบเทียบว่าเหมือน “เด็กชกต่อยกับผู้ใหญ่” เด็กย่อมเสียเปรียบผู้ใหญ่เป็นธรรมดาเพราะตัวเล็กกว่าและแรงน้อยกว่า อันถือเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นการกำหนดให้ศาลปกครองใช้ระบบไต่สวน ผู้พิพากษามีอำนาจซักถามหรือเรียกหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่คู่ความเสนอ ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยที่มีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐ มีโอกาสได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
“จะเห็นว่าระยะหลังๆ ใช้บริการศาลกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคดีเลือกตั้ง คดีผู้บริโภค คดีท่องเที่ยว คดีนักการเมือง คดีภาษีทรัพย์สิน คดีแรงงาน ยาเสพติด ปปท. (คดีทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ) ที่ดิน..อันนี้บางส่วนเท่านั้นนะครับ แต่ทำยังไงได้ คนไว้ใจ สังคมไว้ใจผู้พิพากษา ก็เป็นที่มาว่าทำไมโยนให้ศาล เพราะระบบศาลเป็นระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ทำยังไงจะให้องค์กรอื่นๆ มาเป็นอย่างศาลบ้าง เป็นเรื่องที่เราควรจะปรับปรุง” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี