สัปดาห์ที่แล้ว เราพาทุกท่านไปฟังเหตุผลที่ จ.เชียงใหม่ ทั้งผู้บริหารท้องถิ่นและภาคส่วนต่างๆ ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งแผนงานในภาพรวมของจังหวัดแล้ว ส่วนสัปดาห์นี้ เราจะพาไปฟังความเห็นของผู้ปฏิบัติงาน ว่าควรจะใส่อะไรเพิ่มเติมลงไป และมีอะไรที่อยากอธิบายให้ผู้ที่ยังกังวลได้เข้าใจบ้าง
นายสินอาจ ลำพูนวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ (เขต 1) เสนอแนะถึงสิ่งที่ต้องการให้ปลูกฝังแก่เยาวชน คือ “ทัศนคติในการทำงานและการสร้างรายได้เชิงมูลค่า” ซึ่งจะทำให้เด็กและเยาวชน เติบโตขึ้นมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และสามารถสร้างความก้าวหน้าให้กับตนเองได้
คุณสินอาจ อธิบายว่า ความรู้ด้านวิชาชีพหรือการทำงาน มีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนคือ 1.บุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการทำงาน เช่น การรักในอาชีพ ภาคภูมิใจในอาชีพ ขยัน อดทน รู้จักพัฒนาฝีมือตนเอง ไม่เน้นรวยทางลัด ไม่ดูหมิ่นงานรายได้น้อย สิ่งเหล่านี้จะทำให้แต่ละคนกลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ
2.การสร้างมูลค่ารายได้ หรือที่ศัพท์วิชาการเรียกว่า “ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ” ซึ่งที่ผ่านมา คนไทยประสบปัญหาทำนองนี้มาก กล่าวคือ แม้จะได้ชื่อว่ามีฝีมือในการผลิต แต่ไม่มีทักษะว่าจะนำเสนอผลงานอย่างไร ขายผลงานอย่างไร ตัวอย่างง่ายๆ คือเรื่องของเกษตรกรรม ผลผลิตทางการเกษตรของไทยอาจได้ชื่อว่าคุณภาพสูง แต่ตัวผู้ผลิตไม่รู้จะนำเสนออย่างไร หาตลาดอย่างไร ทำให้ไม่อาจยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นได้
“พอพูดเรื่องอาชีพ เราจะพูดเรื่องการทำงาน พอพูดตรงนี้ปุ๊บ จริงๆ มันมีหลายวิชาที่ทำตรงนี้ เช่นวิชาเกษตร วิชางานประดิษฐ์ เราก็จะเอากันอยู่แค่นั้นละ ซึ่งมันยังไม่ใช่ มันต้องเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของรายได้ คือต้องฝึกในเรื่องการหารายได้ด้วย คือเราทำงานสักชิ้นหนึ่ง อาจจะเพื่อจินตนาการหรืออะไรก็ไม่รู้ละ แต่ถ้ามันไม่พันกับเรื่องรายได้ คุณค่าของมันก็จะไม่สมบูรณ์
การทำรายได้จึงเป็นอีกมิติหนึ่ง ซึ่งถ้าจะปฏิรูปก็ต้องไปให้ถึงตรงนี้ เราใช้เวลาทำงานชิ้นหนึ่ง 10 วัน ทำเพื่ออะไร? ถ้าทำเพื่อความเป็นเลิศในฝีมือ ใช่! แต่อีกมิติที่จะต้องมอง คือมันจะขายได้สักกี่บาท ถ้าทำ 10 วัน ขาย 2 บาท แสดงว่ามิติด้านรายได้มันยังไม่ได้
คือเราไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไรเพื่ออุดมคติอย่างเดียว ต้องพูดถึงชีวิตจริงด้วย ฉะนั้นมิติเรื่องรายได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะบางทีเด็กบอก..โอ๊ย! ไม่ทำหรอก รายได้น้อย..มันไม่ใช่ มันจะมีใครที่เริ่มต้นทำงานแล้วรายได้มาก มันก็ต้องเริ่มจากรายได้น้อยก่อน สมัยก่อนเขาบอกมีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท คืออย่ารังเกียจเบี้ยน้อยหอยน้อย สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มจากประถมไปถึงอุดมศึกษา ถ้าไปเริ่มเอาวันแนะแนว มันไม่สำเร็จ” ผอ.สำนักเขตฯ ประถมศึกษาเชียงใหม่ (เขต 1) กล่าว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อมีกระแสการขอกระจายอำนาจบริหารจัดการตนเองของแต่ละจังหวัด มักสร้างความไม่สบายใจให้กับฝ่ายความมั่นคงจากส่วนกลางอยู่เสมอ เช่นในด้านการศึกษา ที่ส่วนกลางไม่มั่นใจว่า เมื่อยกอำนาจบริหารจัดการให้ท้องถิ่นแล้ว จะสามารถจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานที่ควรจะเป็นได้หรือไม่
ประเด็นนี้ ผอ.สำนักเขตฯ ประถมศึกษาเชียงใหม่ (เขต 1) มองว่า จริงๆ แล้วปัญหาอยู่ที่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการวัดผล ไม่ว่าจะเป็นการวัดผลระดับสากล (เช่น PISA) หรือระดับชาติ (National Test เช่น O-NET) โดยเฉพาะใน 3 วิชาหลัก คือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เหตุที่ต้องมีการวัดผล ก็เพื่อตรวจสอบว่าพื้นที่ใดมีปัญหา จะได้ดำเนินการวิเคราะห์สาเหตุและแก้ไขปัญหานั้น
มิใช่วัดผลแล้วพบว่าที่ไหนได้ต่ำ ก็เอาแต่หาคนผิด หาจำเลยกันไปมาแต่มิได้ลงมือแก้ไขให้ดีขึ้น ท้องถิ่นจึงไม่พอใจและคิดที่จะลุกขึ้นมาแก้กันเอง เช่นใน จ.เชียงใหม่ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษานั้น พื้นที่เขตเมืองแทบไม่มีปัญหาเลย แต่ที่น่าเป็นห่วง คือพื้นที่รอบนอกที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ซึ่งกำลังรอการแก้ไขโดยด่วน
“คำที่ว่าเชียงใหม่มันต่ำ คือพื้นที่ที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้ อำเภออมก๋อย อำเภอเวียงแหง พวกนี้ช่วยตัวเองไม่ได้ ครูก็ขาด นโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา..ครูคืนถื่น..เอาครูออกจากโรงเรียนหมดเลย โรงเรียนเลยไม่มีครูสอน ไปดูลึกๆ มีปัญหามากมายเลย โรงเรียนเหล่านี้ส่วนกลางต้องลงไปช่วยอย่างเร่งด่วน เขาโวยวายไม่ใช่เพราะ 3 วิชานี้ไม่สำคัญ ต้องแยกให้ออกนะ 3 วิชานี้ เด็กเชียงใหม่ก็ต้องเก่งต้องรู้ แต่เวลาวัดผลออกมา ต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการวัด ที่เขาไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับ 3 วิชานี้ แต่ไม่เห็นด้วยกับที่ไปชี้ว่าเขาเป็นจำเลย” คุณสินอาจ ฝากทิ้งท้าย
จากสกู๊ปเรื่องการกระจายอำนาจทางการศึกษา ทั้ง 2 ตอนนี้ คงเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า วันนี้เสียงเรียกร้อง “ท้องถิ่นจัดการตนเอง” กำลังมาแรง ซึ่งมิได้มีเฉพาะเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นกระแสไปในทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น อำนาจเจริญ ระยอง หรือภูเก็ต ที่มีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง
และเป็นประเด็นที่ภาคประชาชนล้วนเห็นตรงกัน..ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน เสื้อสีใดก็ตาม
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี