ป่าไม้..ทรัพยากรสำคัญของชาติและของโลก เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหล่อเลี้ยงทุกชีวิต ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีที่มนุษย์พัฒนาอารยธรรมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ต้นไม้จำนวนมากถูกตัดทั้งเพื่อนำมาใช้แปรรูป หรือเพราะต้องการบุกเบิกที่ดินแห่งใหม่ๆ แน่นอนรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย ดังข้อมูลจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระบุว่า ในปี 2553 พื้นที่ป่าในไทยมีเพียงร้อยละ 29 ขณะที่ กรมป่าไม้ ระบุว่าเหลือเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น
ข้อมูลทั้ง 2 หน่วยงานแม้จะต่างกันบ้าง แต่ก็ยังถือว่าพื้นที่ป่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ควรจะเป็น นั่นคือ “ร้อยละ 40” ของพื้นที่ทั้งประเทศ!!!
ที่ผ่านมา การดำเนินการของภาครัฐโดยลำพังในการรักษาพื้นที่ป่า มักไม่ค่อยได้ผลเป็นที่น่าพอใจนัก ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ากำลังเจ้าหน้าที่รักษาป่าไม่เพียงพอกับพื้นที่ พร้อมๆ กับอาวุธประจำกายที่มีก็อยู่ในสภาพเก่า จนเป็นที่มาของแนวทางแสวงหาแนวร่วมในชุมชนใกล้พื้นที่ป่า ให้เป็นแนวร่วมปกป้องป่าอีกทางหนึ่ง
ที่เห็นผลชัด คือการนำ “ศาสนา” มาเป็นกุศโลบายเพื่อรักษาป่าไม้ ในหลายพื้นที่!!!
ไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสลงพื้นที่ “ป่าชุมชนแม่กื้ดหลวง” ต.กาษา อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติละเมา มีเนื้อที่ทั้งหมด 5,250 ไร่ ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแม่กื้ดหลวง บ้านแม่กื้ดใหม่ บ้านไทยสามัคคี บ้านใหม่ริมเมย บ้านใหม่พัฒนา และบ้านไม่กื้ดใหม่ดอนสว่าง
ชาวบ้านในพื้นที่เล่าว่า พระครูบากัญไชย อดีตเจ้าอาวาสวัดมาตานุสรณ์ เกจิอาจารย์ชื่อดังที่ชาวบ้านขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำเมย” เห็นสภาพป่าแถบนี้เสื่อมโทรม จึงต้องการหาทางฟื้นฟูให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ โดยพระสงฆ์รูปนี้ เป็นผู้ริเริ่มปลุกจิตสำนึกของประชาชนทั้ง 6 หมู่บ้าน ให้ช่วยกันรักษาป่า
คำกล่าวหนึ่งของเกจิอาจารย์รูปนี้ ที่ยังอยู่ในใจชาวบ้านในพื้นที่เสมอมา..“ป่าพื้นสุดท้าย เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนแม่กื้ดหลวง” ทำให้ชาวบ้านช่วยกันปกป้องพื้นที่ป่า ต่อต้านการบุกรุกป่าของคนในชุมชนและพื้นที่ตำบลใกล้เคียง รวมไปถึงผู้มีอิทธิพล นักธุรกิจ ไม่ยอมให้มาตัดทำลายป่าอันเป็นแหล่งผลิตอาหารของส่วนรวม นอกจากนี้ยังเน้นไปที่บทบาทของเยาวชน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ให้สืบทอดแนวทางนี้ต่อไปด้วย
ป่าชุมชนแม่กื้ดหลวง..ที่นี่ก็เช่นเดียวกับที่อื่นๆ คือมีประเพณี “บวชป่า-สืบชะตาป่า” อันเป็นการนำความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญญาณมาปรับใช้เป็นกุศโลบายในการรักษาป่าไม้ ทว่าจะแตกต่างจากที่อื่นอยู่บ้าง ตรงที่หากเป็นที่อื่นจะใช้ผ้าสีเหลืองแบบเดียวกับจีวรพระสงฆ์ แต่ที่ชุมชนแม่กื้ดหลวงนี้จะใช้ผ้า 3 สีแทน ซึ่งชาวบ้านอธิบายว่า เป็นเรื่องของความเชื่อในอดีต เพราะช่วงแรกที่เคยผูกด้วยผ้าเหลือง ปรากฏเหตุการณ์ไม่ปกติแก่คนในหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อกันว่าเจ้าป่าเจ้าเขาคงไม่พอใจ จึงหันมาใช้ผ้า 3 สีแทน
อนึ่ง..การเดินทางเข้าไปในป่าชุนชนแห่งนี้ ไม่นิยมนำรถยนต์เข้าไป เพราะจะเป็นการทำลายธรรมชาติ!!!
นางอำนวยพร ผู้อำนวยการสำนักจัดการเครือข่ายป่าไม้ กล่าวว่า จังหวัดตากมีพื้นที่ป่าในปี 2551 จำนวน 7.95 ล้านไร่ แต่ในปี 2556 ลดลงเหลือ 7.79 ล้านไร่ ซึ่งพื้นที่ป่าหายไปกว่า 160,000 ไร่ ที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ร่วมกันประเมินลำดับความรุนแรงของสถานการณ์ป่าไม้ โดยกำหนดให้จังหวัดตากเป็น 1 ใน 12 พื้นที่วิกฤติรุนแรง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ทว่าในส่วนของ อ.แม่สอด กลับพบว่า ในปี 2556 มีพื้นที่ป่า 536,956.70 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 33.779.01 ไร่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการที่เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าใน อ.แม่สอด มีการสร้างเครือข่ายและมวลชนสัมพันธ์ ในการป้องกันรักษาป่าร่วมกับการป้องกันปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ในกรณีรายใหญ่รวมไปถึงผู้มีอิทธิพลด้วย
ในอำเภอแม่สอด มีหน่วยป้องกันรักษาป่า 2 หน่วย คือ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตก.5 (ห้วยไม้แป้น) และหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตก.8 (แม่ละเมา) จะทำหน้าที่ดูแลรักษาพื้นที่ป่า ซึ่งจากการดำเนินการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เช่น เครือข่ายและพันธมิตรในการป้องกันรักษาป่า บ้านพะกา หมู่ที่ 4 ตำบลด่านแม่ละเมา และเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่าบ้านถ้ำเสือ หมู่ที่ 5 ตำบลพระธาตุผาแดง ก็เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายป่าไม้ที่ช่วยอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ ในท้องอ.แม่สอด จ.ตาก
ถึงวันนี้คงต้องยอมรับแล้วว่า..แนวทางการปฏิบัติของภาครัฐ ไม่อาจใช้วิธีสั่งการเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะประชาชนมีความตระหนักในสิทธิและศักดิ์ศรีของตนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นประชาชนในพื้นที่ที่รู้สภาพแวดล้อมดีที่สุดยิ่งกว่าหน่วยงานรัฐส่วนกลาง
เห็นได้จากยุทธศาสตร์ด้านป่าไม้ระยะหลังๆ ที่ภาครัฐเข้าหาชาวบ้าน สร้างเครือข่ายประชาคมร่วมกัน ให้ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างสร้างสรรค์โดยไม่ทำลายป่า ขณะเดียวกันก็ให้ชาวบ้านมีหน้าที่ต้องดูแลป่าด้วย เช่น มีส่วนร่วมในการป้องกันรักษาป่าจากการถูกบุกรุก การควบคุมไฟป่า เป็นต้น
“พันธกิจของผู้พิทักษ์ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งที่อาศัยและหากินอยู่กับป่า ทั้งเก็บเห็ด เก็บหน่อไม้ และผลผลิตจากป่า ต้องช่วยกันอย่างจริงจัง เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพราะท้ายที่สุดแล้ว พลังความร่วมมือและจิตสำนึกรักษ์ป่าด้วยความเต็มใจและสมัครใจของประชาชนในพื้นที่ จะเป็นเกราะป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ได้ดีกว่ากฎหรือข้อบังคับใดๆ” ผอ.สำนักจัดการเครือข่ายป่าไม้ ฝากทิ้งท้าย
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี