เข้าสู่ช่วงสำคัญอีกครั้งหนึ่งของสังคมไทย หลังจากที่มีการแต่งตั้ง “สภาปฏิรูปแห่งชาติ” (สปช.) ซึ่ง “สื่อสารมวลชน” ก็เป็นด้านหนึ่งจาก 11 ด้านที่จะต้องถูกปฏิรูปด้วย และเมื่อพูดถึงสื่อมวลชน คงต้องยอมรับว่าหลายปีมานี้ “สื่อหลัก” หรือ “นักข่าวอาชีพ” ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ตลอดจนเว็บไซต์ข่าวประเภทที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ กำลังถูกท้าทายจาก “สื่อทางเลือก” หรือ “นักข่าวพลเมือง” อันหมายถึงประชาชนทั่วไปที่เข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เมื่อพบเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ ก็นำมาเผยแพร่ ส่งต่อกันบนโลกออนไลน์
เสียงวิจารณ์ดังเซ็งแซ่..บอกว่าสื่อหลัก “ไม่น่าเชื่อถือ” อีกต่อไป และจะขอเชื่อแต่ “โซเชียลเน็ตเวิร์ค” เท่านั้น!!!
อะไรทำให้ประชาชนคลางแคลงใจกับสื่อหลักได้ขนาดนี้? น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวในงานเสวนา “ปฏิวัติคนข่าว อภิวัฒน์สื่อ กับภารกิจปฏิรูปประเทศไทย” 12 ต.ค. 2557 ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มองว่า ปัจจุบันสื่อหลักถูกแทรกแซงโดย “อำนาจทุน” ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและธุรกิจเอกชน ทำให้มีการใช้สื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กร หรือเลือกที่จะไม่เสนอข่าวเชิงตั้งข้อสังเกตกับองค์กรบางแห่ง เช่นการปฏิรูปพลังงาน ที่แทบไม่ปรากฏบนสื่อหลักเลย ทั้งที่ภาคประชาชนเคลื่อนไหวกันมาก
“ที่สหรัฐอเมริกา มีกฎหมายที่เรียกว่า Sunshine Act หรือกฎหมายพระอาทิตย์ขึ้น บังคับให้บริษัทยาว่าให้ปากปากกา ให้สตางค์กับใครบ้าง ตรงนี้น่าสนใจ มันจะเป็นไปได้ไหม? ที่จะมีกฎหมายแบบนี้ บังคับให้บริษัทโฆษณา ธุรกิจต่างๆ เปิดเผยว่าให้สตางค์กับใคร? ว่าที่คุณลำเอียงไม่เสนอข่าว คุณรับเงินจากใคร? บริษัทหรือหน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยออกมาเลย
กฎหมาย Sunshine Act น่าสนใจมากกับยุคนี้ คือต้องให้ประชาชนเขารับรู้ ว่าคุณรับเงินจากใคร บริษัทนั้น หน่วยงานนั้น ก็ต้องเปิดเผยว่าคุณให้เงินใครบ้าง การมีกฎหมายฉบับนี้ ก็จะช่วยให้ประชาชนรู้ว่า สิ่งที่เสนอนี้มันมีอะไรที่แอบแฝงอยู่หรือเปล่า หรือทำไมข้อเท็จจริงบางอย่างมันถึงไม่ถูกเปิดเผยออกมา สังคมก็จะได้ตัดสินใจ” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจยาและเครื่องมือแพทย์ เป็นกลุ่มทุนที่ทรงอิทธิพลมากในสังคมอเมริกัน จึงต้องมีกฏหมายมาควบคุมเป็นการเฉพาะ
ทว่าในมุมของ นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น ในฐานะสื่อมวลชนอาวุโส กลับมองว่า กฎหมายดังกล่าวอาจนำพาวงการสื่อไปสู่การถูกแทรกแซงได้เสียเอง เพราะในบริบทแบบไทยๆ การออกกฏหมายใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ตามมา คือต้องมีการตั้ง “คณะกรรมการ” ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเต็มไปด้วยบรรดานักการเมืองและข้าราชการประจำ
“เมืองไทย ถ้าจะมี Sunshine Act. สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้น คือจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดู แล้วก็จะตั้งข้าราชการเป็นประธาน แล้วก็จะมีตัวแทนจากกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แล้วนักการเมืองก็จะเข้ามาแทรกแซง ผมพูดเสมอว่า มันมีข้อเสนอมาเป็นระยะๆ ว่าคนทำสื่อต้องมีใบอนุญาตเหมือนหมอหรือวิศวกร แล้วผมก็คัดค้านมาตลอด เพราะถ้าคนทำข่าวต้องมีใบอนุญาต เขาก็ต้องตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา เพราะการจะมีใบอนุญาตก็จะต้องมีผู้ให้อนุญาต แล้วก็มีสิทธิ์ถอนใบอนุญาตได้ด้วย
แปลว่าจะมีกรรมการชุดหนึ่งทำหน้าที่กำหนดเลยว่าใครจะเป็นสื่อสารมวลชน มันไม่เหมือนหมอกับวิศวกรนะครับ หมอต้องรู้วิธีผ่าตัด วิศวกรต้องรู้ว่าสร้างตึกนี้น้ำหนักเท่าไร แต่คนทำหน้าที่สื่อนั่นคือตัวแทนประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่จำเป็นต้องจบมหาวิทยาลัยคณะไหนด้วยซ้ำไป ถ้าเขาจบแค่ ป.4 แต่เขาเขียนข่าวได้ รายงานข่าวได้ ถ่ายรูปได้ เขาก็สมควรได้เป็นสื่อมวลชน สิ่งที่ผมกลัว คือถ้ามี Sunshine Act ก็จะมีคณะกรรมการจากข้าราชการ จากนักการเมืองเข้ามากำหนดทิศทาง” ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อมายาวนานรายนี้ แสดงความเป็นห่วง
ขณะเดียวกัน สุทธิชัย ตั้งคำถามย้อนกลับไปที่สมาคมวิชาชีพสื่อ ว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้าง ในการทำให้คนทำสื่อเชื่อมั่นว่า เขาจะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างกรณีสถานีโทรทัศน์บางช่อง ที่เชื่อว่าคงมีผู้สื่อข่าวในช่องนั้นไม่น้อย ที่รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องรายงานข่าวตามนโยบายของกลุ่มทุนที่สนับสนุนช่องดังกล่าว
“ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา คนทำข่าวที่อยู่ในองค์กรธุรกิจหลักรู้สึกเหงามาก ผมเห็นใจคนข่าวบางคน ผมนั่งรอว่าองค์กรสื่อจะช่วยเขายังไง จะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ที่จะให้โอกาสเขาได้แสดงจุดยืนว่า บางเรื่องเขากับนายทุนอาจจะไม่จำเป็นต้องคิดตรงกันก็ได้ แต่ผมไม่เห็น ผมไม่เห็นพฤติกรรมที่ว่า องค์กรสื่อจะเข้าไปช่วยให้เกิดความเชื่อในองค์กรสื่อกันเอง ว่าเมื่อฉันพูดไม่ออก ฉันคาดหวังว่าจะมีใครที่เป็นกลาง องค์กรที่เป็นวิชาชีพ ที่จะช่วยให้กำลังใจว่า คุณสะท้อนออกมาสิ องค์กรสื่อจะช่วยพูดให้” สื่อมวลชนอาวุโสรายนี้ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง จากความนิยมในสื่อออนไลน์ (Social Media) ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่น่ากังวล คือบ่อยครั้งมีการส่งต่อ (Share) ข่าวสารที่ไม่เป็นความจริงบนโลกออนไลน์ เช่นบรรดา Forward Mail โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่งผลให้เกิดกระแสตื่นตระหนกมาแล้วหลายครั้ง หรือบางครั้งก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่รับสื่อแล้วหลงเชื่ออีกด้วย
สุทธิชัย เสนอแนะว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการบรรจุวิชา “การรู้เท่าทันสื่อ” (Media Literacy) ลงไปในหลักสูตรการศึกษาของไทยทุกระดับ เพื่อให้คนไทยเข้าใจวิธีการตรวจสอบว่าข่าวที่นำเสนอนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่? เพียงใด? เพราะที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า การส่งต่อข้อมูลผิดๆ เหล่านี้ ได้สร้างปัญหากับสังคมไทยไว้มากมาย
“เราจะมีวิธีเช็คข่าวอย่างไร? ถ้าเด็กเรารู้ตั้งแต่ประถม 4 ม.1 ม.2 ม.3 รับรองไม่ถูกต้ม ไม่ถูกหลอก ไม่ตามกระแสอย่างที่เรากังวลทุกวันนี้ ว่าทำไมเราส่งข่าวเข้าไปใน Social Media แปบเดียวมันแพร่กระจาย ของปลอมของเท็จทั้งหลาย มันก็เชื่อกันไปหมด เพราะเด็กไม่รู้ว่าอันนี้ต้องตรวจสอบ เพราะมันเป็นกระแสว่าเมื่อฉันส่งต่อ นี่คือหมดหน้าที่ฉันแล้ว” ประธานเครือเนชั่น ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม แม้สื่อออนไลน์จะกลายเป็นทางเลือกที่ท้าทายบทบาทของสื่อกระแสหลัก แต่สื่อหลักหรือผู้ประกอบวิชาชีพสื่อก็ยังถูกคาดหวังจากสังคม ว่าจะมีมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพที่มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะบทบาทในการ “ชี้นำสังคม” ไปในทางที่ถูกต้อง
สารี ยกตัวอย่างกรณีคอลัมนิสต์รายหนึ่ง ที่ไปวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งบุคคลดังกล่าวกำลังมีข้อพิพาทกับสื่อดังบางแห่ง แต่แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในด้านเนื้อหาหรือความเห็น กลับไปเขียนโจมตีในทำนอง “เหยียดเพศ” ที่นอกจากจะหาสาระประโยชน์ใดๆ ไม่ได้แล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ผิดๆ กับผู้บริโภคสื่ออีกด้วย
“สื่อต้องยอมรับว่า ตัวเองเป็นผู้ชี้นำสังคม โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ไม่ว่าเรื่องเพศ เรื่องผู้หญิง เรื่องเด็ก หรืออย่างสงกรานต์ อย่างปีใหม่ ทุกสื่อจะไปดูว่าถนนเส้นไหนรถติดเท่าไร? แต่ไม่มีสื่อไหนไปสำรวจดูว่า ทำไมบริการขนส่งสาธารณะถึงแย่อย่างนี้? ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงบนรถได้ขนาดนี้? ฉะนั้นเราคิดว่าสื่อต้องชี้นำเรื่องพวกนี้ มันต้องก้าว ต้องชี้นำ ต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า การมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกคนมีได้” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝากทิ้งท้าย
ประเด็นปฏิรูปสื่อทั้งหมดนี้ แม้จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่ในความเป็นจริงใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะยังมีข้อน่าสังเกตหลายประการ คือ 1.ให้ใช้ระบบตรวจสอบร่วม (Co-Regulate) ระหว่างสมาคมวิชาชีพสื่อกับหน่วยงานของรัฐที่มีกฏหมายรับรอง ซึ่งก็มีเสียงทักท้วงว่าจะถูกแทรกแซงจากภาครัฐ ที่มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงหรือไม่? รวมทั้งหน่วยงานดังกล่าว มีคุณภาพเพียงพอแค่ไหน?
2.ให้บริษัทเอกชน หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจสื่อ ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะว่าให้-รับรายได้จากใครบ้าง ข้อเสนอนี้ถูกนำเสนอมากจากเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงสะท้อนทั้งจากสื่อเอง และภาคประชาชนไม่น้อย ย้อนถามกลับไปว่า บรรดาองค์กรพัฒนาเอกชนเอง ควรจะเปิดเผยเช่นกันด้วยหรือไม่? ว่าได้รับงบประมาณดำเนินกิจกรรมต่างๆ มาจากที่ใดบ้าง
3.ให้องค์กรสื่อผลักดันสหภาพแรงงานของคนทำข่าว ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังมีเสียงร่ำลือกันอยู่บ้างว่า ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบธุรกิจสื่อเท่าที่ควร แม้กระทั่งเจ้าของสื่อบางรายที่เข้าใจสภาพแวดล้อมและความรู้สึกของคนทำข่าวในภาคสนามดีก็ตาม
6 ทศวรรษแล้วที่สื่อมวลชนไทยมีสมาคมวิชาชีพอย่างเป็นทางการ และวันนี้กำลังพูดถึงการปฏิรูปกันขนานใหญ่ แต่ดูทีท่าแล้ว ไม่แน่ชัดว่าจะสำเร็จหรือไม่? เพราะไม่ว่าจะแตะไปทางไหนก็มีปัญหาทั้งสิ้น
ไม่ว่ารัฐ เอกชน เอ็นจีโอ..หรือแม้กระทั่งคนในแวดวงสื่อเอง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี