องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)..การกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลาง ออกไปสู่ท้องที่ต่างๆ โดยมุ่งหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมผ่านการเลือกตั้งผู้นำท้องถิ่นด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่ามีแต่คนในท้องถิ่น จึงรู้ปัญหาในพื้นที่ของตนดีที่สุด ทั้งยังสร้างการเรียนรู้ประชาธิปไตยอีกด้วย ทว่านับตั้งแต่แนวทางการกระจายอำนาจเริ่มใช้ในปี 2540 ถึงปัจจุบัน (2557) ข่าวคราวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับ อปท. ทั้งหลาย ดูเหมือนจะเป็นไปในทางลบเสียมาก
เช่น สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวงานวิจัยว่าด้วย โครงการประเมินผลนโยบายกระจายอำนาจของไทยระยะ 15 ปี จัดทำโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวบรวมข่าวระหว่างเดือน ม.ค. 2540 - ก.ค. 2556
พบข่าวทั้งหมดของ อปท. จำนวน 140 ข่าว แบ่งเป็นด้านดี จำนวน 49 ข่าว และด้านร้าย จำนวน 91 ข่าว แน่นอนว่า บ่อยครั้งที่มีข่าวด้านร้าย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ ก็จะหยิบยกมาโจมตีเสมอ โดยเฉพาะเรื่องของการทุจริตและการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า
จึงไม่ต้องแปลกใจ..จากกรณี “ไวน์ขวดละแสน-ดูงานต่างประเทศ” ที่ถูกพูดถึงไม่นานมานี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ต่างร่วมผสมโรงโจมตี อปท. อย่างดุเดือด ราวกับภาคท้องถิ่น “หาข้อดีไม่มีเลย”!!!
เพื่อให้ความเป็นธรรมและนำเสนอข่าวอย่างรอบด้าน “สกู๊ปหน้า 5” ร่วมกับผู้สื่อข่าวภูมิภาค ขอนำบทสัมภาษณ์ความเห็นของ นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นตัวแทนคนหนึ่งของภาคท้องถิ่น มาให้ทุกท่านได้ทราบ อันเป็นการเปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นได้มีโอกาสชี้แจงบ้าง
นายก อบจ. อยุธยา กล่าวถึงภาพลบของ อปท. ในสายตาประชาชนทั่วไปว่า ส่วนหนึ่งยอมรับเช่นกันว่าอาจมีผู้บริหารบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงส่วนรวม จึงเกิดการทุจริตขึ้น แต่ก็อยากให้มองเป็นรายบุคคลไป ไม่อยากให้เหมารวม เพราะยังมี อปท. อีกมากที่ทำงานเพื่อท้องถิ่นจริงๆ
“ผู้บริหารบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงส่วนรวม จึงเกิดการทุจริตภายในองค์กรเกิดขึ้น ภาพพจน์ที่คนมองก็เลยเหมารวมว่า อปท.มีการทุจริตมาก อันที่จริงเป็นเรื่องของตัวบุคคล ยังมี อปท.อีกหลาย อปท.ที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมและประเทศชาติ ทุกที่ทุกองค์กรมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป ไม่อยากให้เหมารวมว่าไม่ดีไปทั้งหมด” นายก อบจ. อยุธยา กล่าว
อีกประเด็นที่ร้อนแรงตลอดเดือน ก.ย. 2557 ที่ผ่านมา คือกรณีมีผู้เสนอให้ลงประชามติแยก 8 อำเภอในจังหวัดนครราชสีมา ไปเป็น “จังหวัดบัวใหญ่” แล้วมีการวิตกกังวล เพราะมีผู้นำไปเปรียบเทียบกับกรณีสก็อตแลนด์ลงประชามติแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักร (ที่มีอังกฤษเป็นศูนย์กลาง)
คุณสมทรง มองว่าเป็นเรื่องของท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะตัดสินใจ ด้านหนึ่งการแยกเป็นคนละจังหวัด ข้อดีคือการเดินทางไปติดต่อราชการน่าจะสะดวกมากขึ้น อีกทั้งเป็นเพียงการแยกจังหวัดแต่ยังอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินไทย ยังเป็นคนไทยเหมือนเดิม แต่อีกด้านหนึ่ง คนที่นับถือ “ย่าโม” ท้าวสุรนารี สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครราชสีมา อาจจะมองว่าคนโคราชทุกอำเภอนับถือเหมือนกัน แล้วจะแยกกันไปเพื่ออะไร
“ถ้าอะไรที่ทำไปแล้วดีต่อประเทศชาติและประชาชนก็ทำไป ต้องฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าแยกก็เป็นอีกจังหวัด บางคนก็คิดว่าสะดวกสบายในการติดต่องานราชการไม่ต้องเดินทางไกล แม้จะแยกจังหวัดแต่ก็อยู่ในผืนแผ่นดินไทยเหมือนกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็มองว่าเป็นจังหวัดเดียวกัน นับถือย่าโมคนเดียวกันแบ่งแยกทำไม” นายก อบจ. อยุธยา ให้ความเห็น
คำถามสุดท้าย..เมื่อถามต่อไปว่า รู้สึกหนักใจกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนในทางลบบ้างหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่หนักใจ เพราะว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ตนดูแลอยู่นั้น มีนโยบายเข้าใจ เข้าถึง ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เรื่องผลประโยชน์ส่วนตนเป็นส่วนรอง
เพราะว่าตนมาเสียงจากชาวบ้าน ที่เลือกให้เข้าเริ่มสุขาภิบาล ผู้ใหญ่บ้าน จนกระทั่ง เป็นนายก อบจ. ต่างทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าผู้นำ อปท.คิดถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเรื่องหลัก ภาพลักษณ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะดูดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดียวนี้
“ถึงอย่างไรก็คิดว่าคนที่ดี ผู้นำที่ดีมีมากกว่าคนไม่ดี บางคนทำแต่ไม่พูดก็มีเข้าถึงและช่วยเหลือประชาชนรากหญ้า แต่ไม่ได้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตนเองก็มี แต่บางคนพูดแต่ไม่ทำ มีแต่นโยบายสร้างภาพเข้าไม่ถึงความเดือดร้อนของประชาชนก็มี แต่คิดว่าเป็นส่วนน้อย” คุณสมทรง ฝากทิ้งท้าย
จากทั้งหมดนี้ คำกล่าวหนึ่งที่ยังใช้ได้เสมอคือ “ทุกที่มีทั้งคนดีและไม่ดี” เพราะแม้งานวิจัยดังกล่าวจะพบข่าวด้านร้ายๆ ของ อปท. มากกว่าด้านดีๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เช่น ระหว่างปี 2551-2555 คณะผู้วิจัยสุ่มตัวอย่าง อปท. จำนวน 110 แห่ง พบว่ามี 69 แห่งถูกร้องเรียน แต่ในจำนวนนี้ มีเพียง 8 แห่งเท่านั้นที่มีมูลให้ทำการสืบสวนต่อ หรือเพียงร้อยละ 7.3 เท่านั้น
สรุปบทเรียนได้ว่า..ด้านหนึ่ง อปท. ก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนให้โปร่งใส ลบคำวิจารณ์เรื่องทุจริตและความไม่ชอบมาพากลให้ได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประชาชนก็ไม่ควรเหมารวมว่า การปกครองแบบท้องถิ่นเป็นสิ่งไม่ดีทั้งหมด และเรียกหาการรวมศูนย์จากส่วนกลางเช่นที่ทำมาในอดีต
เพราะนับวันสภาพสังคมมีแต่จะซับซ้อนมากขึ้น การรอคอยแต่ส่วนกลาง อาจไม่ทันต่อสถานการณ์อีกต่อไป อีกทั้งแต่ละพื้นที่ล้วนมีลักษณะเฉพาะตัว การบริหารจัดการจึงต้องเหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ด้วย!!!
หมายเหตุ : อ่านข่าวรายงานวิจัยฉบับดังกล่าวได้ที่ http://www.isranews.org/thaireform-doc-make-sense/item/31809-03086701.html
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี