ด้วยสภาพของพื้นที่ ซึ่งเป็นป่าเขา “ไกลปืนเที่ยง” และเป็นถิ่นอิทธิพลของ “เซ็ง ลูกไม้ไผ่” ขุนโจรพูโล ก่อนยุคของ “สะมะแอ ท่าน้ำ” และ “ยูโซ๊ะ ท่าน้ำ” 2 ผู้นำระดับผู้บังคับการกองกำลังติดอาวุธของพูโลเก่า และใหม่ ทำให้ “ทุ่งยางแดง” กลายเป็นพื้นที่ “สีแดง” ที่มี “แกนนำ” และ “แนวร่วม” ที่เข้มแข็ง เช่นเดียวกับหลายๆพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีแดงของขบวนการก่อการร้ายใน จ.ปัตตานี
เมื่อประกอบกับความขัดแย้งในเรื่องการแย่งชิงอำนาจของการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ อ.ทุ่งยางแดง จะกลายเป็นพื้นที่ ซึ่งแม้การปะทุขึ้นของความไม่สงบระลอกใหม่จะเกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่หลายพื้นที่ของ อ.ทุ่งยางแดง ก็ยังไม่ได้เกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง ทั้งที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหาร และอื่นๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่
ล่าสุด “ทุ่งยางแดง” กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ “แนวร่วม” กว่า 40 คน ใช้วันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “วันสัญลักษณ์” ของขบวนการพูโล เพราะตรงกับวันสถาปนาธรรมนูณของขบวนการพูโล ใช้รถยนต์ และจักรยานยนต์หลายคัน บุกเข้า “เผาโรงเรียน” ในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง 5 แห่ง โดยมีเจตนาเพียงต้องการเผาสถานที่ศึกษาของเยาวชน ซึ่งเป็น “สัญลักษณ์” ของรัฐไทย
หลังเกิดเหตุมีคำถามดังกระหึ่ม ทั้งในสังคมเล็ก คือ คนในพื้นที่ และในสังคมใหญ่ คือ คนในประเทศ รวมทั้งเหมือนเป็นการ “ราดน้ำมันลงไปในกองไฟ” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพราะเรื่องเผาโรงเรียนครั้งเดียวหลายแห่ง ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยการเผาโรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งใหญ่ที่สุด คือ เมื่อปี 2546 ซึ่งมีการเผาที่เดียว 36 โรง ใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา
การเผาโรงเรียนครั้งนี้ จึงถือเป็นการ “ตบหน้า” รัฐบาล เนื่องจากก่อนหน้านี้เพียงอาทิตย์เดียว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้ประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่าสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้อง “ยุติ” ภายใน 1 ปี!!!
เกิดอะไรขึ้นที่ “ทุ่งยางแดง”???
นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนรอคำตอบ ซึ่งการเผาโรงเรียนที่ทุ่งยางแดงอาจมาจากสาเหตุอื่นๆที่ไม่ใช่เรื่องการ “เยาะเย้ย” หรือ “ตอบโต้” การประกาศยุติความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือลดความรุนแรงลงครึ่งหนึ่งภายใน 1 ปีของ “รัฐบาลตู่ 1” ก็เป็นได้
เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูสถานการณ์ก่อนเผาโรงเรียน พบว่า ก่อนหน้าเหตุเผาโรงเรียนมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ในพื้นที่ ถูกยิงถล่มเสียชีวิต ซึ่งจนถึงบัดนี้ตำรวจ และทหาร ยัง “จับมือใครดมไม่ได้” มีเพียงการข่าวที่ระบุว่าผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวร่วม จึงยิ่งทำให้คนในพื้นที่เข้าใจว่าการเสียชีวิตของ นายก อบต.ผู้นี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งๆที่อาจไม่ใช่ก็ได้ เพราะเป็นที่รู้กันในพื้นที่ว่าในพื้นที่นี้มีความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่นอย่างรุนแรง ซึ่ง “มือที่สาม” อาจจะฉวยโอการลงมือ เพื่อก่อหวอดให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชน กับเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ได้
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร ก็ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นที่หลบซ่อนของ “อันวา ดือราแม” แกนนำกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ แต่นายอันวาหลบหนีไปได้ โดยทำอาวุธปืนตกไว้ในที่เกิดเหตุ จึงทำให้มีการนำตัวเจ้าของบ้านเข้าสู่ขบวนการซักถาม ซึ่งยิ่งสร้างความโกรธแค้น ให้กับแนวร่วมในพื้นที่ เพราะก่อนหน้านี้ “พี่ชาย” ของอันวาก็เคยถูก “วิสามัญฆาตกรรม” มาแล้ว
แหล่งข่าวในพื้นที่ เปิดเผยว่า ถ้าไม่มีการยิง นายก อบต. ถ้าไม่มีการนำตัวคนที่ไม่ผิดไปควบคุมตัวการเผาโรงเรียนอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ และถ้าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำหน้าที่ด้วยความ “เป็นกลาง” คือไม่ไปแอบอิงกับกลุ่มการเมือง และกลุ่มอิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อใส่ความฝ่ายการเมือง และอิทธิพลกลุ่มตรงกันข้าม แบบ “เลือกข้าง” สถานการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ อาจจะ “ทุเลา” หรือยุติลงไปบ้างแล้วก็ได้ โดยไม่ต้องคิดค้นแบบ “โมเดล” ให้ยุ่งยาก
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากการเผา 6 โรงเรียน ใน 2 อำเภอ ก็ทำให้เกิด “ทุ่งยางแดงโมเดล” ขึ้นมา เพื่อใช้พื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง เป็นพื้นที่ “นำร่อง” ของการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น ซึ่งวิธีการของทุ่งยางแดงโมเดล อาจจะสร้างความตื่นเต้น น่าสนใจ สำหรับสื่อนอกพื้นที่ และคนในสังคมใหญ่ แต่เป็นเรื่องธรรมดากับคนในสังคมเล็กที่สัมผัสกับ “ไฟใต้” ที่คุกรุ่นอยู่ในพื้นที่มานานนับ 10 ปีแล้ว
เพราะ “หลักการ” ของทุ่งยางแดงโมเดล เป็นหลักการของการสร้าง “เอกภาพ” ให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกันสร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง” มีการแบ่งความรับผิดชอบในงานด้านการรักษาความปลอดภัย การพัฒนาการศึกษาและอื่นๆ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ให้ประชาชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ร่วมกันปกป้องหมู่บ้านตำบล โดยเน้นให้เห็นว่าประชาชนไม่ได้ต่อสู้กับแนวร่วม
แต่เป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการป้องกันชุมชนของตนเอง ป้องกันสาธารณะสมบัติ ซึ่งเป็นของทุกคนในชุมชน…..
โดยข้อเท็จจริง “หลักคิด” หรือ “โมเดล” แบบนี้ สมาชิกสภาที่ปรึกษา การบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คิดและทำเป็นแผนงานไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นในการปฏิบัติ เพราะความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลในอดีต
ดังนั้นการเกิดขึ้นของ “ทุ่งยางแดงโมเดล” โดยจะมีการ “ขับเคลื่อน” ผ่านทาง ศปก.อ.หรือศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ จึงอาจจะเป็นอีกหนึ่งก้าวของความก้าวหน้าในการเปิดนโยบายเชิงรุกของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่มีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะดีกว่าการ “ตั้งรับ” โดยไม่มีอะไรใหม่ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ที่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงก็ทำได้เพียงการติดตาม ตรวจค้น จับกุม ขับไล่แนวร่วมออกจากพื้นที่และจบลงด้วยการ วางกำลังรักษาพื้นที่ ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยเส้นทาง และบุคคล
“ทุ่งยางแดงโมเดล” อาจไม่ใช่ “ขอนไม้” สำหรับคนที่กำลังจะ “จมน้ำ” แต่ก็เป็น “แสงสว่าง” รำไรที่ถูกจุดขึ้น เพื่อขับไล่ “ความมืด” ซึ่งอาจจะไม่ได้สว่างไสวอย่างฉับพลัน แต่ก็อาจจะเป็นการต่อยอด เพื่อให้เกิดแสงสว่างในอนาคตอย่างถาวร และหวังว่าคงจะไม่ใช่แสวงสว่างแบบ “ไฟไหม้ฟาง” ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในหลายๆมิติสำหรับประเทศไทย
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี