อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่กันแล้ว แล้วก็เช่นเคยกับปลายปีแบบนี้ ที่จะต้องมีการแถลงสถิติ ตัวเลข หรือข้อมูลว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่ง 1 ในนั้นคือเรื่องของ “เศรษฐกิจ” ที่ต้องยอมรับว่า ปี 2557 คนไทยไม่ว่าฐานะใด ล้วนต้องผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า “สาหัส” กันมาทั้งสิ้น
16 ธ.ค. 2557 ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) เปิดเผยผลสำรวจภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2557 ในภาคส่วนที่อาจเรียกว่าเป็น “เศรษฐกิจแบบบ้านๆ”เนื่องจากเน้นศึกษาความเป็นไปของ “ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (SME) รวมถึงสินค้าต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวบุคคลทั่วไป
ประการแรก..เป็นไปตามเสียงร่ำเสียงลือ กับกระแส “ของกินแพงขึ้น” ดร.เกียรติอนันต์ ระบุว่า แม้รัฐบาลจะบอกว่าอัตราเงินเฟ้อต่ำจนไม่น่าเป็นห่วง แต่ในความเป็นจริง ราคาอาหารกลับพุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบมากต่อคนระดับ “รากหญ้า” หาเช้ากินค่ำ เพราะคนกลุ่มนี้มีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูง
“มันเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านบอกของแพง รัฐบาลบอกไม่เห็นแพงเลยดูตัวเลขเงินเฟ้อสิ!..มันเป็นอย่างนี้ครับ ชาวบ้านส่วนใหญ่ถ้ามีรายได้ไม่เยอะ เงินประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของเขา คือกินจ่ายในแต่ละวัน ฉะนั้นเวลาเขาพูดถึงของแพง เขาก็พูดถึงค่าใช้จ่ายแต่ละวัน การกินการอยู่ ซื้ออาหาร อะไรจิปาถะนี้แหละครับ
ถ้าไล่มา 10 เดือนตั้งแต่มกรา-ตุลา จะเห็นเลยว่าเงินเฟ้อในส่วนปากท้อง มันสูงกว่าเงินเฟ้อในภาพรวมกว่าเท่าตัว ฉะนั้นถ้าพูดแบบชาวบ้าน ก็คือคนรายได้น้อย จะเจอผลกระทบจากของแพง มากกว่าคนปกติเป็นเท่าตัว” ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว ทั้งนี้หากนับตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2557 จะพบว่า เงินเฟ้อในภาพรวมอยู่ที่เพียงร้อยละ 2.1 เท่านั้น ขณะที่เงินเฟ้อในส่วนปากท้อง หรือค่าอาหาร พุ่งสูงไปอยู่ที่ร้อยละ 4.1 หรือมากกว่าราวเท่าตัว
ประการที่สอง..อีกกระแสที่ถูกพูดถึง นั่นคือ “ท่องเที่ยวซบเซา” ซึ่งมีสาเหตุมาจาก 2 เรื่อง คือ 1.ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ผอ.DPURC ระบุว่า ปี 2557 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทยน้อยลง กล่าวคือ หากย้อนดูสถิติ จะพบว่าที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตลอด ไล่ตั้งแต่ปี 2553 อยู่ที่ 15.94 ล้านคน
ปี 2554 ทั้งที่เป็นปีแห่ง “มหาอุทกภัย” น้ำท่วมใหญ่เกือบทั้งประเทศ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 19.23 ล้านคน, ปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 22.35 ล้านคน, ปี 2556 พุ่งทะยานสู่ 26.74 ล้านคน กระทั่ง ปี 2557 ยอดกลับดิ่งลงมาอยู่ที่ 22.50 ล้านคนเท่านั้น หายไปกว่า 4 ล้านคน ซึ่งก็เป็นที่ทราบดีว่าส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา กับ2.คนไทยไม่กล้าใช้เงินมาก สืบเนื่องจากภาวะอาหารแพง การจับจ่ายใช้สอยจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง ทำให้การจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ลดลง
“เมื่อส่วนที่ต้องกินต้องใช้ยังแพงขึ้นเรื่อยๆ คนก็จะระมัดระวังไม่ใช้จ่าย ถ้าเกิดยังกินไม่พอ จะมีเงินไปใช้ในส่วนอื่นๆ หรือ? เราถึงได้เห็นกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่เพิ่มขึ้นไงครับ ถ้ามองในแง่การทำตลาดเรื่องการท่องเที่ยว ถ้าเราควบคุมราคาสินค้าได้ดี ก็จะมีโอกาสดึงลูกค้าเข้ามาได้
แต่ที่ต้องระวัง คือเงินเฟ้ออาหารหรือเงินเฟ้อปากท้องนี่แหละครับ ที่มันสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงเท่าตัว นั่นหมายความว่า ถึงคนจะมาเที่ยวเยอะ แต่คนอาจจะไม่ได้จับจ่ายใช้สอยเยอะเหมือนเมื่อก่อน รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวอาจจะไม่เพิ่ม แล้วเมื่อนับรวมกับคนในประเทศที่ต้องใช้จ่ายแต่ละวันเยอะขึ้น กำลังซื้อที่จะเหลือไปใช้ที่อื่น อาจจะน้อยลงด้วยครับ” ผอ.DPURC อธิบาย
ประการที่สาม..สถานการณ์ของ SME วันนี้ยังถือว่าน่าห่วง ไล่ตั้งแต่ 1.ด้านการเงิน ร้อยละ 66.6 หรือส่วนใหญ่ ตอบว่า “การรักษาสภาพคล่องทางการเงิน” เป็นสิ่งที่ลำบากที่สุดในตอนนี้ รองลงมา ร้อยละ 54.3 ตอบว่าการเข้าถึงแหล่งทุน อันดับ 3 ร้อยละ 52.2 ตอบว่าการเติบโตของรายได้ และอันดับ 4 ร้อยละ 51.1 ตอบว่าต้นทุนการผลิต
2.ด้านการตลาด เป็นสิ่งที่ SME กังวลหนักไม่แพ้กัน ไล่ตั้งแต่ร้อยละ 51.3 ตอบว่าการรักษาฐานลูกค้าเดิม ร้อยละ 50.8 ตอบว่า การสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งในประเทศ ร้อยละ 50.1 ตอบว่า การสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งนอกกกลุ่มอาเซียน และร้อยละ 49.2 ตอบว่า การสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน
ที่เป็นเช่นนี้ ในส่วนปัจจัยภายใน ดร.เกียรติอนันต์ อธิบายว่า เนื่องจากคนไทยมีกำลังซื้อลดลง การจะจับจ่ายใช้สอยต้องคิดให้หนักขึ้น ดังนั้นร้านค้าที่อยู่ใกล้กัน จากเดิมที่เคยเป็นมิตรช่วยเหลือกัน อาจกลายเป็นศัตรูคู่แข่งกันก็ได้ เช่น ร้านกาแฟกับร้านดอกไม้ แม้จะเป็นธุรกิจคนละประเภท แต่เพราะทุกวันนี้ผู้คนต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง ดังนั้นคนหนึ่งคน อาจเลือกซื้อของได้แค่อย่างเดียว ทำให้ธุรกิจที่ไม่น่าจะแข่งกันได้ ก็ต้องแข่งกันไปเองโดยปริยาย
ขณะที่ปัจจัยภายนอก ในปี 2558 เป็นปีแห่งการเปิดเสรี ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมถึงการแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจอย่าง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็น “คู่แข่งที่น่ากลัว” จนทำให้ SME ไทย รู้สึกกังวลอย่างมาก
3.ความกังวลด้านการผลิต มี 2 ข้อที่ SME กังวลเป็นพิเศษ คือร้อยละ 62.2 ตอบว่า การบริหารการผลิตให้เหมาะสม จะทำให้อย่างไรให้สินค้ามีพอขาย แต่ก็ไม่เยอะเกินไปจนล้นตลาด กับร้อยละ 62 ตอบว่า สภาพอากาศ เพราะมีผลต่อการขนส่ง เช่น SME อาจมีรถกระบะเพียง 2 คัน สำหรับส่งของ หากเกิดฝนตกหนักย่อมเป็นอุปสรรคต่อการส่งของให้ลูกค้าตามกำหนดเวลา นั่นหมายถึงการมีรายรับเข้ามาก็จะล่าช้าไปอีก
และ 4.ความกังวลด้านทรัพยากรบุคคล ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า “ลูกจ้างระดับยอดฝีมือ” ที่ทำงานกับ SME มักจะถูกบริษัทขนาดใหญ่ “ซื้อตัว” ไปร่วมงาน โดยให้ค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ที่สูงกว่า ขณะที่พนักงานที่เหลือ ศักยภาพมักจะอยู่ในระดับรองๆ ลงมา จึงส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตัวชี้วัดที่น่าสนใจ..ดร.เกียรติอนันต์ ระบุว่า หากให้ “เปรียบเทียบชีวิตตนเองกับสำนวนไทย” พบว่า ชาว SME ไทย ให้นิยามปี 2557 ว่าเป็นปีแห่งการ “พายเรือทวนน้ำ” มากที่สุด ถึงร้อยละ 51.2 กล่าวคือ มองว่าปีนี้เป็นปีที่ต้องดิ้นรนเพื่อประคองตัวไม่ให้กิจการล่มจมเท่านั้น ยังไม่อาจพูดถึงการขยายตัวเติบโตได้
อันดับ 2 รองลงมา ร้อยละ 21.4 ตอบว่า “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” อันดับ 3 ร้อยละ 10.2 ตอบว่า “เรือล่มเมื่อจอด” และอันดับ 4 ร้อยละ 9.3 ตอบว่า “กัดก้อนเกลือกิน” เห็นได้ชัดเจนว่า สำนวนไทยทั้ง 4 อันดับ ล้วนสอดคล้องกัน นั่นคือการต้องยอมเหนื่อยอย่างแสนสาหัส เพื่อรักษาธุรกิจให้อยู่รอดไว้ก่อน
และเมื่อถามถึงปี 2558 ว่าจะเป็นอย่างไร อันดับ 1 ร้อยละ 39.5 ตอบว่า “สู้แล้วรวย” หมายถึงชาว SME ไทย ยังมีความหวังที่จะสู้ต่อไป เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น อันดับ 2 ร้อยละ 31.2 ตอบว่า “ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ” หมายถึง จะทำอะไรต้องรอบคอบมากขึ้น จะเร็วไปก็ไม่ได้ แต่จะช้าไปก็ไม่ดี อันดับ 3 ร้อยละ 9.7 ตอบว่า “ต้นร้ายปลายดี” หมายถึงหวังว่าอนาคตจะดีกว่านี้ และ อันดับ 4 ร้อยละ 8.2 ตอบว่า “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” หมายถึง รู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางสู้กับธุรกิจใหญ่ๆ ได้ เลยขอเจียมเนื้อเจียมตัว หากินกับงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือหล่นมาจากทุนใหญ่ดีกว่า
“2557 เป็นปีของการพายเรือทวนน้ำ ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็อาจจะโดนน้ำพัดไป แล้วก็จมน้ำตายไป ที่ทำอยู่นี้ก็แค่พายไม่ให้เรือโดนพัดไปเท่านั้น อีกพวกคือรับทุกจ๊อบ คือหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน หรือเรือล่มเมื่อจอด ตอนแรกคิดว่าถึงฝั่งแล้ว พอหยุดพายก็จมทันที คือวางแผนมาดี คาดว่ารับมือได้ แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด ส่วนพวกกัดก้อนเกลือกิน อันนี้คือพวกที่สภาพคล่องติดลบ
แล้วปี 2558 หรือปีหน้าจะเป็นยังไง มาเลยครับ..สู้แล้วรวย..ไหนๆ ก็พายเรือทวนน้ำมาแล้ว ปีหน้าสู้ซะหน่อย ก็น่าจะทำให้ตัวเองเติบโตได้..ช้าเป็นการนานเป็นคุณ..ต้องเลือกจังหวะจะโคนให้ดีๆ เร็วไปก็ไม่ได้ ช้าไปก็ไม่ดี คือต้องเป็นการเสี่ยงแบบที่คำนวณมาแล้วว่ามันคุ้มค่า.. ต้นร้ายปลายดี..พวกนี้มองว่าต้นปีไม่เท่าไร แต่ปลายปีหวังว่าจะดีขึ้นได้ละนะ..
เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน..อันนี้น่าเศร้ามากครับ คือเขามองว่าปีหน้าธุรกิจใหญ่จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม เขาคงไปสู้ไม่ได้ทันทีหรอก เอาเป็นว่าอะไรที่เหลือๆ จากธุรกิจใหญ่ๆ ก็เก็บจากตรงนั้นก่อนละกัน นี่คือนิยามปี 2558 ครับ” ผอ.DPURC ฝากทิ้งท้าย
ปี 2557 กำลังจะผ่านไปแล้ว ซึ่งสังคมไทยพานพบวิกฤติต่างๆ มากมาย ทั้งการเมืองบ้าง เศรษฐกิจบ้าง ทำให้คนไทยเครียดมาตลอดทั้งปี
ส่วนปี 2558 ทุกอย่างจะดีขึ้น ดังที่คาดหวังกันไว้หรือไม่?..อีกไม่นานคงได้รู้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี