อุบัติเหตุ..คำคำนี้เชื่อว่าไม่มีใครอยาก
ให้เกิดกับตนเองหรือคนที่รัก ทว่าในความเป็นจริง สังคมไทยเป็นสังคมที่มี
ผู้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุสูงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตบนท้องถนน ดังที่ สถาบันวิจัยด้านการคมนาคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกาทำการศึกษาร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า คนไทยตายเพราะอุบัติเหตุทางถนน เป็นอันดับ 2 ของโลก เฉลี่ย 44 คนต่อประชากร 100,000 คน
ที่น่าเป็นห่วง บ่อยครั้งอุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ได้เกิดขึ้นบนถนนโล่งๆ ที่รถยนต์สามารถใช้ความเร็วสูงได้ต่อเนื่อง แต่เกิดขึ้นบนถนนเส้นเล็กๆ ไม่กว้าง และมีการจราจรหนาแน่น เส้นทางลักษณะนี้ผู้คนควรที่จะสามารถเดินข้ามได้สะดวก เช่นเดียวกับยานพาหนะต่างๆ น่าจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่เร็วนัก และสามารถหยุดรถได้ไม่ยากเย็น
ช่วงนี้หากใครที่ผ่านไปมาบริเวณ “ถนนอโศกมนตรี” ถนนเส้นสั้นๆ เชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนเพชรบุรี แล้วพบผู้คนเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย โดยมีบางคนทำหน้าที่ถือ “ธงแดง” คอยให้สัญญาณบอกให้รถที่แล่นไปมาหยุดให้คนข้าม ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะถนนเล็กๆ ความยาวเพียงกิโลเมตรเศษๆ แห่งนี้ เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ล่าสุดเมื่อ 18 ธ.ค. 2557 ก็เกิดเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ ชนพิธีกรสาว สังกัด GMM แกรมมี่ เสียชีวิต สาเหตุมาจากคนขับพยายามขับฝ่าสัญญาณไฟแดงบริเวณทางม้าลาย
“สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่เมื่อ 22 ธ.ค. 2557 ได้ข้อมูลว่า หลังการเสียชีวิตของพิธีกรสาวรายนี้ อาคารสำนักงานละแวกนั้น จึงมีการนำธงแดงมาแขวนไว้ที่เสาไฟฟ้าบริเวณทางม้าลายของทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อให้คนที่ข้ามถนนได้ใช้ เนื่องจากถนนเส้นนี้ ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุรถชนคนข้ามถนนบ่อยครั้ง
เรียกว่า “ประชาชนต้องดูแลความปลอดภัยกันเอง”!!!
สาเหตุสำคัญ..ต้องยอมรับว่า มุมหนึ่งเป็นเพราะความประมาท หรือลักษณะบางอย่างของบรรดาผู้ขับขี่ยานพาหนะ เช่น เมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง แทนที่จะชะลอรถ กลับพยายามเร่งความเร็วเพื่อฝ่าไปให้พ้นก่อนไฟแดง หรือแม้กระทั่งไฟแดงแล้ว แต่บางคนจะถือโอกาส “ลักไก่-ไหลตามน้ำ” เร่งเครื่องตามคันหน้าไปอย่างเนียนๆ ขณะที่อีกมุมหนึ่ง คนข้ามถนนเองบางรายก็ไม่ระมัดระวัง นึกจะข้ามตรงไหนก็ข้าม ไม่รอสัญญาณไฟก่อน เป็นต้น
พ.ต.ท.สถิตพร บุณยรัตพันธุ์ รอง ผกก.จร. สน.ทองหล่อ กล่าวว่า จากกรณีอุบัติเหตุรถชนคนข้ามถนน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ที่หน้าตึก GMM แกรมมี่ นั้น มี 2 ประเด็นที่เป็นสาเหตุ คือ 1.การขับขี่ยานพาหนะ เนื่องจากขณะเกิดอุบัติเหตุนั้นได้เป็นสัญญาณไฟเขียวให้คนข้ามถนน แต่รถคันดังกล่าวกลับไม่ยอมหยุด และ 2.เรื่องของยาเสพติด เพราะจากการตรวจสอบพบว่าผู้ขับขี่มีปัสสาวะสีม่วง ซึ่งหมายความว่ามีการใช้สารเสพติดร่วมด้วย
สำหรับมาตรการป้องกัน จะมีตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คือในช่วงเวลา 06.00-09.00 น. ในบริเวณทางแยก รวมทั้งมีตำรวจคอยโบกรถให้ที่มีคนคอยข้ามถนน ขณะที่ในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน ก็จะมีสัญญาณไฟจราจรคอยเตือนอยู่ตลอด ทั้งนี้ภายหลังเกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้นก็จะมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการธุรกิจในย่านนั้น มาพูดคุยเพื่อหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมต่อไป
อย่างไรก็ตาม..จุดเสี่ยงทั้งๆ ที่มีสัญญาณไฟคนข้าม มิได้มีแต่เพียงถนนอโศกมนตรีเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยหัวข้อ “การประเมินผลระบบสัญญาณไฟคนเดินข้ามถนนอัจฉริยะ ในการช่วยคนเดินข้ามถนน” โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการสำรวจบริเวณซอยประชาอุทิศ 40/1 เขตทุ่งครุ กทม.
พบว่า ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ร้อยละ 56 มองว่า การมีไฟข้ามถนนอัจฉริยะ ไม่ได้ช่วยให้การข้ามถนนสะดวกสบายขึ้น แม้จะเป็นการเปิดใช้เต็มรูปแบบ (มีไฟเขียว-ไฟแดง และมีตัวเลขนับเวลา) ก็ตาม และเมื่อเปิดใช้เพียงกึ่งหนึ่ง (มีเพียงสัญญาณไฟเหลืองกะพริบ ให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะชะลอความเร็ว) ก็พบว่า ประชาชนที่คิดเห็นทำนองดังกล่าว มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70 เลยทีเดียว
ชัดเจน..สัญญาณไฟไม่ช่วยให้รถหยุดเมื่อมีคนข้ามถนน!!!
อีกงานวิจัยที่อาจเทียบเคียงได้ คือการสำรวจของ ด.ต.ปัญญา จันทรสุขโข ในหัวข้อ “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการกระทำผิดกฎจราจรของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์” ที่ถูกจับข้อหาฝ่าฝืนกฎจราจรในพื้นที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ช่วงเดือนมิถุนายน 2554-กุมภาพันธ์ 2555 พบว่า ข้อหาที่จับได้มากที่สุด อันดับ 1 คือ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟและเครื่องหมายจราจร สูงถึงร้อยละ 81.1 ในจำนวนนี้แบ่งเป็นขับขี่ย้อนศร ร้อยละ 37.8 ฝ่าสัญญาณไฟจราจร ร้อยละ 22.2 ขับขี่บนทางเท้า ร้อยละ 12.1 และอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ขณะที่สาเหตุหลัก อันดับ 1 คือ ความรีบร้อน สูงถึงร้อยละ 83.3 รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 71 ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่ อันดับ 3 ไม่มีเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ร้อยละ 62.2 อันดับ 4 ไม่ชำนาญเส้นทาง ร้อยละ 48.9 และ อันดับ 5 เมาสุรา ร้อยละ 42.2
และเมื่อสอบถามเชิงลึก ผู้ทำผิดกฎจราจรกรณีฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร มักให้เหตุผลทำนองว่า “ต้องรีบไป เพราะกลัวจะทำงานไม่ทัน กลัวไปส่งลูกที่โรงเรียนไม่ทัน” ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะลักไก่ฝ่าไฟแดงทันที หากเห็นถนนอีกฟากที่ตัดกันโล่ง ไม่มีรถจอดรอสัญญาณไฟ ขณะที่กรณีขับขี่ย้อนศร ผู้กระทำผิดมักให้เหตุผลทำนองว่าจุดกลับรถที่ถูกต้องนั้นอยู่ไกล จึงย้อนศรเพื่อความสะดวก
แน่นอนว่า..ผู้ใช้รถชนิดอื่นๆ เหตุผลในการทำผิดก็คงไม่ต่างกัน!!!
ดังที่ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) เคยแถลงผลการจับกุมยานพาหนะฝ่าไฟแดงด้วยกล้องตรวจจับในพื้นที่ กทม. ระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2555 ที่แม้ว่าจำนวนผู้กระทำผิดจะลดลงเหลือเดือนละ 25,000-27,000 ราย เทียบกับตอนติดตั้งกล้องใหม่ๆ เมื่อปี 2551 ที่สูงถึงเดือนละ 60,000 ราย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงอยู่ ขณะที่ 6 เดือนแรกของปี 2556 จับกุมได้ถึง 19,066 ราย หรือเฉลี่ยเดือนละ 3,100 ราย
ล่าสุดกับนโยบาย “5+1 จอม” ที่เริ่มใช้เมื่อ 17 ก.ค. 2557 หากจำกันได้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)แถลงข่าวว่าสามารถจับกุมผู้กระทำผิด 5 จอมแรก ในเขต บช.น. ตั้งแต่ 17 ก.ค.-9 พ.ย. 2557 ได้กว่า 91,277 ราย แบ่งเป็น จอมปาด (พวกชอบเบียดแทรก) 23,462 ราย, จอมล้ำ (จอดรถล้ำเส้นหยุด เช่น เส้นหน้าทางแยก หรือจอดบนทางม้าลาย) 19,242 ราย
จอมขวาง (หยุดรถขวางทางแยก) 10,301 ราย, จอมย้อน (ขับขี่ย้อนศร) 23,381 ราย และ จอมปลอม (มีพฤติกรรมปลอมแปลงป้ายทะเบียน) 8,199 ราย ขณะที่จอมที่ 6 อย่าง “จอมแชท” หรือบรรดาผู้ชอบใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ยานพาหนะโดยไม่ใช้อุปกรณ์เสริม (HandFree) ที่เริ่มเมื่อ 5 ส.ค. 2557 สถิติของ บช.น. นับถึง 9 พ.ย. 2557พบผู้กระทำผิด 5,704 ราย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุบนท้องถนนรวมถึงการจราจรที่ติดขัด
สะท้อนให้เห็นว่า..“วินัยจราจร” คนไทยยังน่าเป็นห่วง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี