หากนับตั้งแต่ 2 ก.ย. 2533 อันเป็นวันก่อตั้ง “สำนักงานประกันสังคม” ถึงวันนี้ก็ผ่านมาแล้ว “สองรอบ” หรือ 24 ปี ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม สรุปตัวเลขถึงเดือน พ.ย. 2557 แบ่งสมาชิกผู้ประกันตนตามประเภทต่างๆ ไว้ดังนี้ ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) หรือลูกจ้างที่อยู่ในระบบสถานประกอบการ จำนวน 9,986,298 คน ,
ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39) หรือผู้ที่เคยอยู่ในมาตรา 33 ที่แม้จะมีเหตุให้ต้องออกจากงาน แต่ก็ขอส่งเงินสมทบต่อ จำนวน 1,119,165 คน และ ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 40) คือผู้ที่ไม่เคยหรือไม่ได้เป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบ จำนวน 2,041,520 คน
รวมทั้งสิ้น..เรามีผู้ในระบบประกันสังคม สูงถึง 13,146,983 คน
หรือคิดเป็น “1 ใน 5” ของคนไทยทั้งประเทศ!!!
ที่ผ่านมา เครือข่ายแรงงานและผู้เรียกร้องความเป็นธรรมต่างๆ พยายามผลักดันสิทธิต่างๆ ที่ผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบควรมีควรได้เข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคม ล่าสุด 25 ธ.ค. 2557 นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (ส.พ.ท.) เขียนบทความสรุปแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ครั้งล่าสุด รวมทั้งสิ้น 15 ประการ
ซึ่งก็มีหลายประการที่เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ประชาชน เช่น แก้ไขให้คำว่า “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง เพื่อให้มีความหมายครอบคลุมทั้งหมด ไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไร รวมทั้งทำงานบ้านด้วย ทั้งนี้ปัจจุบัน อาจแบ่งแรงงานประเภทต่างๆ ในประเทศไทยได้ดังนี้ 1.แรงงานในระบบ ทำงานตามสถานประกอบการ ประมาณ 11 ล้านคน 2.แรงงานนอกระบบ ประกอบอาชีพอิสระ ประมาณ 25.1 ล้านคน และ 3.แรงงานต่างด้าว หรือแรงงานที่เป็นชาวต่างชาติ ประมาณ 4 ล้านคน
หรือในส่วนของ คณะกรรมการประกันสังคม จากเดิมที่ใช้คำว่า “นายจ้าง-ลูกจ้าง-ภาครัฐ” ก็เปลี่ยนมาเป็น “นายจ้าง-ผู้ประกันตน-ภาครัฐ” ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมถึงผู้ประกันตนทุกประเภทมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงแรงงานในระบบสถานประกอบการเท่านั้น ที่จะเข้าไปเป็นคณะกรรมการได้ เนื่องจากเป็นผู้ประกันตนประเภทเดียว ตามนิยามคำว่าลูกจ้างในตัวบทกฏหมาย
นอกจากนี้ ยังขยายการช่วยเหลือกรณี “คลอดบุตร” จากเดิมที่ประกันสังคมจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพียงบุตร 2 คนแรกเท่านั้น การแก้ไขครั้งล่าสุดนี้ ได้ตัดเงื่อนไขนี้ออกไป ทำให้ประกันสังคม สามารถอุดหนุนการคลอดบุตรของผู้ประกันตนได้อย่างไม่จำกัดจำนวน เพื่อหวังให้คนไทยมีบุตรกันมากขึ้น หลังพบว่าปัจจุบันจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง จนเริ่มเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” กันแล้ว
รวมแรงงานทุกประเภทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขครั้งนี้ น่าจะราวๆ 41.1 ล้านคน!!!
แต่ก็มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงเช่นกัน 23 ม.ค. 2558 นายมนัส เปิดเผยกับ “สกู๊ปหน้า 5” ระบุว่า ล่าสุดคณะกรรมาธิการในรัฐบาลปัจจุบัน ได้พิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม เรียบร้อยแล้ว และเตรียมเสนอเข้าสู่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พบว่ามีการ “ตัดสิทธิประโยชน์บางอย่าง” ที่ผู้ประกันตนเคยได้รับออกไป
นั่นคือ “สิทธิได้รับเงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน” ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน หากลาออกจากงานเอง จะได้เงินช่วยเหลือร้อยละ 30 ของค่าจ้าง เป็นเวลา 3 เดือน (90 วัน) แต่หากถูกเลิกจ้าง จะได้เงินช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นเวลา 6 เดือน (180 วัน) แต่ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ได้ตัดสิทธิในส่วนของผู้ที่ลาออกเองออกไป
เหตุผลคือ “กลัวเงินกองทุนมีไม่เพียงพอ”!!!
“กรรมาธิการเขาพิจารณาจบแล้ว ตอนนี้ก็รอเข้า สนช. จริงๆ แก้ไขกันทั้งหมด 45 มาตรา แต่มันมีประเด็นหลักๆ ที่ตัดสิทธิเดิมไป นั่นคือกรณีว่างงาน ถ้าของเดิมนี่ถ้าผู้ประกันตนลาออกเอง จะได้ 30 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้าง เป็นเวลา 90 วัน ถ้าถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ก็ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้าง เป็นเวลา 180 วัน แต่ทีนี้เขาตัดสิทธิ์ของคนลาออกเองไป ให้เฉพาะเลิกจ้างอย่างเดียว เราก็คิดว่ามันเป็นการลิดรอนสิทธิ์ผู้ประกันตน
เขาให้เหตุผลว่านานาประเทศไม่มีตรงนี้ แล้วก็กลัวกองทุนไม่เกิดสภาพคล่อง แต่พอเราไปดู กองทุนมันก็ยังพอใช้ได้อยู่ กองทุนว่างงานยังเหลืออยู่ พอใช้สิทธิ์ได้เหมือนเดิม ไม่ถึงกับขาดทุน ยังมีกำไรอยู่แต่มันปริ่มน้ำ สถานภาพกองทุนตอนนี้ มีเงินอยู่ประมาณ 1 ล้านล้าน เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การเงินก็ยังสภาพคล่องดีอยู่” ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ระบุ
อีกประเด็นที่เครือข่ายแรงงานและภาคประชาชนต้องการ คือการปฏิรูปกองทุนประกันสังคม จากเดิมที่ทำงานกันแบบระบบราชการ ให้เปลี่ยนมาเป็น “องค์กรอิสระ” มีนักบริหารที่เป็นมืออาชีพมาดูแล เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และให้กองทุนสามารถยืนได้ด้วยตนเอง ประเด็นนี้ นายมนัส กล่าวว่า น่าเสียดายที่ไม่สามารถเกิดได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ แต่ก็จะต้องเดินหน้าผลักดันต่อไปในอนาคต
“กองทุนประกันสังคม ทุกวันนี้ยังอยู่ในระบบราชการกับกระทรวงแรงงาน แต่ผู้ใช้แรงงานหรือผู้ประกันตน ก็เคลื่อนไหวอยากให้มันเป็นองค์กรอิสระแบบมหาชน เอามืออาชีพมาบริหารงาน ไม่ใช่เอาข้าราชการมาบริหารงาน แต่การแก้ไขกฎหมายคราวนี้ ไม่ได้ไปปรับโครงสร้างตรงนี้เลย มันก็เลยยังอยู่แบบเดิม คือเราต้องการ แต่หลักการมันไม่ไปไง ก็เลยขอแก้ไขในสิทธิที่หลักการรับได้
เช่น เพิ่มสิทธิพวกคลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต ค่าเยียวยาเบื้องต้น เช่น กรณีแพทย์รักษาผิดโรค แบบของ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) เดิมประกันสังคมไม่มีนะ อย่างค่าปลงศพได้สี่หมื่น ตอนนี้เราขยายสิทธิ์ตาม สปสช. แล้ว ในการแก้ไขกฏหมายฉบับนี้” นายมนัส กล่าวทิ้งท้าย
จากเรื่องนี้ อาจทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องเสียโอกาส เพราะผู้ที่ลาออกจากงานเอง การที่ได้รับเงินร้อยละ 30 โดยคิดจากอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายก่อนลาออกเป็นเวลา 3 เดือน ยังนำมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็คือใช้เป็นค่าเดินทางไปหาสมัครงานใหม่ ดังนั้นหากตัดงบส่วนนี้ออกจริง ย่อมกระทบต่อผู้ประกันตนอย่างไม่ต้องสงสัย
คำถามคือ..ผู้รับผิดชอบกองทุนประกันสังคม ไม่มีวิธีลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นแล้วหรือ?
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถอ่านบทความสรุป 15 ประเด็นแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม โดย นายมนัส โกศล ฉบับเต็มได้ที่ http://www.ctl.or.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539725755&Ntype=1
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี