หนี้..คำคำนี้คงไม่มีใครอยากเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หนี้นอกระบบ” ที่นายทุนผู้ให้กู้มักคิดดอกเบี้ยในอัตรา “แพงมหาโหด” แถมเมื่อไม่มีจ่าย ก็มักจะใช้วิธีทวงแบบรุนแรง ตั้งแต่ทำลายข้าวของไปจนถึงฆ่าเพื่อล้างหนี้ ทว่าในความเป็นจริง ผู้คนอีกมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ ไม่อาจเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ อีกทั้งไม่มีความรู้ทางกฎหมายเพียงพอ
บ่อยครั้งจึงต้องกลายเป็นเหยื่อของนายทุนหน้าเลือดเหล่านี้!!!
“จ” หญิงวัย 35 ปี ชาว จ.เพชรบูรณ์ บอกเล่าถึงการต่อสู้กับนายทุนรายหนึ่ง ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมด้วยการมาขายปุ๋ยและเครื่องมือทำการเกษตรให้กับตน ซึ่งสามีของตนที่เป็นข้าราชการ ได้ให้ผู้บังคับบัญชาเซ็นค้ำประกันการซื้อขายให้ แต่ตอนที่ทำสัญญา นายทุนรายนี้บอกว่าไม่มีสัญญาค้ำประกัน มีแต่สัญญากู้ยืม และเมื่อถึงกำหนดตนก็ได้จ่ายเงินค่าสินค้าจนครบถ้วนแล้ว และขอสัญญาที่หัวหน้าของสามีทำไว้คืน ทว่านายทุนกลับอ้างว่าหาไม่เจอและให้เชื่อใจกัน
ไม่นึกว่าในเวลาต่อมา นายทุนรายนี้กลับมาฟ้องให้จ่ายหนี้..ทั้งดอกทั้งต้นเกือบ 5 แสนบาท!!!
“เราถูกนายทุนฟ้องว่ากู้ยืมเงินจำนวน 4 แสนกว่าบาท และรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 5 แสนกว่าบาท แต่ความจริงแล้วเราเป็นลูกค้าและตอนที่เจ้าหนี้ฟ้องคดีก็ใช้หนี้ครบจำนวนหมดแล้ว เราไม่รู้จะพึ่งใคร ก็เขียนหนังสือร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ซึ่งทาง DSI กับกระทรวงยุติธรรม ก็ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบข้อมูลถึงบ้าน” หญิงรายนี้ กล่าว
แต่การต่อสู้คดีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย “จ” เล่าต่อไปว่า เมื่อนายทุนรายนี้ รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาสืบสวน ก็ดำเนินการหลายๆ อย่าง เช่น นำกล้องวงจรปิดมาติดบริเวณพื้นที่ใกล้บ้านของเธอ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหว หรือมีครั้งหนึ่งที่ต้องเดินทางจาก ต.ดงขุย เพื่อไปขึ้นศาลสู้คดีกับนายทุน ซึ่งต้องขับรถผ่านพื้นที่ “เขารัง” ก็ถูกใครบางคนพยายามขับรถเบียดรถของตนจนเกือบจะตกเขา ซึ่งเธอสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนที่นายทุนรายนี้จ้างมาข่มขู่ก็เป็นได้
“ชาวบ้านอยากสู้ ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐเอาจริงนายทุนก็กลัว แต่ที่ผ่านมาตำรวจไม่มีหน้าที่ทวงหนี้ให้นายทุน แต่พอนายทุนไปแจ้งความว่าชาวบ้านติดหนี้ ตำรวจก็เข้าข้างนายทุนทำให้ชาวบ้านกลัว แถมเวลาไปขึ้นศาลมีกำนัน–ผู้ใหญ่บ้าน ไปเป็นพยานให้นายทุน เพราะเขาบอกว่าเลือกยืนข้างคนชนะ ทำให้ชาวบ้านจำยอมรับสภาพถูกรังแก
แล้วพอ ผอ.โจ้ (นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการระงับข้อพิพาท กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) มาเจรจาช่วยชาวบ้านที่เป็นหนี้ได้หลายราย นายทุนเห็นอย่างนี้ก็เลยออกอุบายเรียกชาวบ้านมาเซ็นกระดาษเปล่า ซึ่งชาวบ้านบางคนอยากได้หลักฐานการกู้เงิน ทีนี้จากที่เป็นหนี้จำนวน 4 แสนบาท ก็กลายเป็น 5 แสนบาท หรือบางคนเป็นหนี้ 4-5หมื่นบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ขาด 2 พันบาทก็จะครบล้านบาท เขาก็มาปะเหลาะว่าจะให้ผ่อนส่ง10 ปี ปีละแสนได้ ชาวบ้านไม่อยากมีปัญหาก็ยอม จึงทำให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานยากขึ้นไปอีก” เธอระบุ
เบื้องลึกเบื้องหลังในส่วนคดีของ “จ.” เกิดขึ้นเพราะพ่อของเธอซื้อที่ดินจากเพื่อน และจ่ายเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้โอนโฉนดให้จนต่อมาเพื่อนก็เสียชีวิต แล้วลูกของเพื่อนก็ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขายต่อให้กับนายทุนรายนี้ ซึ่ง “จ.” ยังไม่ย้ายออกจากที่ดิน ทำให้นายทุนรายนี้ ใช้อุบายนำสัญญาเงินกู้เท็จมาฟ้องเพื่อหวังจะบีบให้ตนย้ายออกไป
“ตอนแรกก็จ้างทนายความสู้คดีจ่ายเงินไป 75.000 บาท แต่ผ่านไป 2 เดือน เขาก็ไม่ทำอะไรเลยเพราะรู้จักกันกับทนายของทางโน้น (นายทุน) พอทาง DSI รู้เรื่องก็บอกว่าให้ไปขอเงินคืนจากทนายความ แต่เขาคืนมาให้แค่ 3 หมื่นบาท ซึ่งทางศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ ก็จัดหาทนายความ 2 คนให้ช่วยว่าความต่อสู้คดี ซึ่งโชคดีมากตรงที่ช่วงเวลาที่เขาฟ้องคดีว่าเรากู้ยืมเงิน ตรงกับปีที่เป็นลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ซึ่งมีหลักฐานเอกสารว่ามีแหล่งเงินทุนของรัฐที่เราไปเอาปุ๋ยและผลิตภัณฑ์การเกษตร จึงไม่จำเป็นต้องกู้ยืมจากนายทุน
นอกจากนี้ พอเจ้าหน้าที่สืบไปเรื่อยๆ ปรากฏว่านอกจากปลอมลายเซ็นเราแล้ว ยังปลอมลายเซ็นพ่อเราด้วยซึ่งเป็นคนตาย เมื่อมีการพิสูจน์หลักฐานก็พบพิรุธหลายอย่าง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเชื่อว่าเราไม่ได้กู้เงินจริง โดยตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหนี้เขียนบันทึกช่วงเวลายอดเงินที่ปล่อยให้กู้วันละ 2-4 หมื่นติดต่อกันเกิน 3 วัน ซึ่งสูงผิดวิสัยการปล่อยกู้เพราะไม่ได้มีการค้ำประกันใดๆ แล้วศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายืนตัดสินให้ชนะคดีเหมือนกับศาลชั้นต้น ว่า โจทก์ฟ้องไม่มีความน่าเชื่อถือ เลื่อนลอย และเป็นคดีต้องห้ามไม่ให้ฎีกา” เจ้าทุกข์รายนี้ กล่าวย้ำ
แต่ไม่ใช่ว่าจะโชคดีกันทุกราย พ.ต.ท. กฤตธัช อ่วมสน พนักงานสอบสวนพิเศษคดีพิเศษ ดีเอสไอ ปฏิบัติราชการช่วยศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม(ศนธ.ยธ.) เล่าถึงเล่ห์เหลี่ยมของบรรดานายทุนเงินกู้ ที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายเงินเกินจากที่กู้ไปเป็นจำนวนมาก เช่น กรณีที่ จ.ชัยภูมิ เจ้าหนี้ออกเงินให้ลูกหนี้จำนวน 120,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศที่ตัวเองเป็นนายหน้าจัดส่งไป ซึ่งเป็นที่รับทราบกันของชาวบ้านว่า ต้องจ่ายคืนประมาณ 200,000 บาท และทุกคนก็ยอมรับ
ทว่าหลังจากที่ทำงานส่งเงินชำระหนี้ผ่านธนาคารเป็นเวลานานนับสิบปี เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจ้าหนี้กลับบอกว่าเงินที่ลูกหนี้ 14 คน ส่งมาไม่ทำให้เงินต้นลด เพราะเงินที่จ่ายมาแต่ละเดือนเป็นแค่ค่าดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่มากพอที่จะลดเงินต้นสักบาทเดียว เพราะฉะนั้น ชาวบ้านที่กลับจากทำงานต่างประเทศนานสิบปีต้องมาหาเงินมาจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้นายทุนต่อไปอีก
เป็น “สัญญาทาส” ไปชั่วลูกชั่วหลาน!!!
“สำหรับการทำงานช่วยเหลือลูกหนี้ที่ผ่านมา มีหลากหลายวิธีตั้งแต่ต้องไปย้อนดูเอกสาร สเตทเมนท์ (Statement-รายงานการเคลื่อนไหวเข้าออกของเงินในบัญชี) ทางธนาคาร ซึ่งบางรายก็นานกว่า 10 ปี ก็ยากที่เจ้าหน้าที่ธนาคารจะยอมค้นข้อมูลให้ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ของธนาคารบางรายยอมให้ความร่วมมือ หลังผมพูดคุยให้รับทราบถึงความไม่ยุติธรรมและเดือดร้อนที่ลูกหนี้ต้องแบกรับชำระหนี้จำนวนที่ตัวเองไม่ได้กู้ยืม บิดเบือนไปจากความเป็นจริงอย่างร้ายกาจ ซึ่งเราก็สามารถช่วยได้บ้างบางรายที่มีหลักฐานตามได้เท่านั้น” พ.ต.ท. กฤตธัช กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็พบว่า เป็นเพราะความโลภหรือความฟุ่มเฟือยของผู้กู้เอง ทำให้เสียรู้นายทุนเหล่านี้ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนฯ ยกตัวอย่างกรณีหนึ่ง พนักงานในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจำนวนหลายคนเป็นหนี้กู้ยืมเงินจริง 3 แสนบาท แต่ให้เจ้าหนี้กรอกตัวเลขสัญญากู้ยืม 3 ล้านบาท โดยให้เจ้าหนี้เอาไปฟ้องศาลและยอมรับการชำระหนี้หลังจากนั้นจึงมารับเงินจริงจำนวน 3 แสนบาท ซึ่งลักษณะนี้ลูกหนี้ร่วมมือกับเจ้าหนี้ใช้อำนาจศาลรับรองความถูกต้อง จึงสุดวิสัยที่จะช่วยเหลือได้
“จากผลการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของหนี้มาจากความฟุ่มเฟือย ใช้เงินผิดประเภทและไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น ชาวบ้านบางคนเป็นหนี้เพราะตามใจลูกก็มี กู้เงินมาซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพงให้ลูกใช้ เพราะลูกบอกว่าจะเอาไว้โทรมาหาพ่อแม่
ที่หนักกว่านั้น พ่อแม่บางรายกู้มาซื้อรถเก๋งให้ลูกขับไปเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนลูกไม่เคยมารับรู้ความลำบากของพ่อแม่ เวลาเรียนจบมาแล้วก็ไม่เหลียวแลพ่อแม่ จนในที่สุดก็ต้องให้นายทุนมายึดที่ดินไปทั้งนั้น” พ.ต.ท. กฤตธัช ฝากทิ้งท้ายเป็นอุทาหรณ์
สิริพร พานทองถาวร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี