เป็นกฎหมายอีกฉบับที่ถูกจับตามอง และมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง กับ ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .. ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้านหนึ่ง ผลจากการชุมนุมทางการเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการใช้ความรุนแรงจนบาดเจ็บล้มตาย หรือมีการเข้าปิดล้อมสถานที่ราชการ แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจในการควบคุมที่ชัดเจน เช่นเดียวกับเสียงสนับสนุนของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม มองว่าการปิดถนนหรือกีดขวางพื้นที่สาธารณะเพื่อจัดการชุมนุม ทำให้คนทั่วไปได้รับความเดือดร้อน
ทว่าอีกด้านหนึ่ง เสียงทักท้วงก็ดังขึ้นไม่แพ้กัน มองว่าร่างกฎหมายดังกล่าว คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการเรียกร้องหรือแสดงออกของภาคประชาชน ไล่ตั้งแต่ 26 ธ.ค. 2557 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) นำโดย ชาลี ลอยสูง แสดงความกังวลว่า กฎหมายฉบับนี้อาจ“ปิดทาง” ไม่ให้ลูกจ้างหรือผู้ใช้แรงงาน สามารถรวมตัวกันเพื่อต่อรองให้มีสวัสดิการที่ดีขึ้นได้เลย
เช่นใน มาตรา 10-12 ที่ระบุให้ผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุม ต้องแจ้งกับ “ผู้รับแจ้ง” หรือหัวหน้าสถานีตำรวจประจำท้องที่นั้นๆ หรือถ้าไม่สามารถแจ้งได้ทัน ให้แจ้งกับผู้บัญชาการตำรวจประจำจังหวัดนั้นๆ เพื่อขออนุญาตผ่อนผัน และคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตผ่อนผันนี้ “ให้ถือเป็นที่สุด” ซึ่งเครือข่ายแรงงานมองว่าตรงนี้ให้ดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ ตีความได้กว้างมาก สุดแท้แต่ว่าเป็นมุมมองของใคร ขณะเดียวกัน การนัดหยุดงานประท้วง เป็นเพียงการต่อรองของนายจ้างเท่านั้น ไม่สามารถผลักดันเชิงนโยบายได้
ดังนั้นการชุมนุมของผู้ใช้แรงงานในที่สาธารณะ..จึงมีความจำเป็นอย่างมาก!!!
เช่นเดียวกับ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) มีบันทึกความเห็นเมื่อ 28 ม.ค. 2558 ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกำหนดเรื่องพื้นที่ห้ามชุมนุมนั้น กำหนดให้รัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลเป็นพื้นที่ซึ่งห้ามการชุมนุมเด็ดขาดในรัศมี 150 เมตร หากฝ่าฝืนเจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้เลิกการชุมนุม นอกจากนี้ยังให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศพื้นที่ห้ามชุมนุมเพิ่มเติมได้อีกด้วย ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิและกระทบต่อเสรีภาพของประชาชนโดยตรง และไม่สอดคล้องกับสภาพการใช้เสรีภาพในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น
หรือการกำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมต้องร่วมรับผิดหากมีผู้ร่วมชุมนุมไปกระทำผิดทางอาญา คปก. ก็มองว่าไม่สมควร หากผู้จัดการชุมนุมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับกระทำความผิดนั้นๆ ไม่ว่าจะในฐานะผู้กระทำ ผู้สั่งการหรือผู้สนับสนุน เพราะขัดกับหลักการกฎหมายอาญา ที่กำหนดให้การกระทำความผิดทางกฎหมายใด เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่กระทำความผิดแต่ละบุคคล “ใครทำอะไรก็ต้องรับผลนั้น” นอกจากนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ยังตัดอำนาจของศาลปกครองในการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่การชุมนุมสาธารณะเป็นเรื่องกฎหมายมหาชน
ซึ่งศาลปกครองที่ใช้ระบบไต่สวน..ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะ!!!
ในมุมนักวิชาการ บุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตแกนนำ 14 ตุลาคม 2516 กล่าวว่า แม้กฎหมายควบคุมการชุมนุมจะมีในประเทศที่เจริญแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศเหล่านั้น
รัฐบาลก็ดี ตำรวจก็ดี มีความ “ใจกว้าง” ให้เสรีภาพในการแสดงออกค่อนข้างมาก แม้จะเป็นกลุ่มที่ดูหัวรุนแรงก็ตาม หากเป็นการแสดงออกโดยสงบ เช่น “กลุ่มนาซีใหม่” (Neo-Nazism) ที่มีการจัดกิจกรรมชุมนุมของกลุ่มตนอยู่เป็นระยะๆ
คำถามคือ..ภาครัฐของประเทศไทย มีความใจกว้างเทียบเท่าของประเทศเหล่านั้นหรือไม่?
“ในต่างประเทศเท่าที่ผมผ่านมา ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา แม้กระทั่งพวกนาซิสม์ ที่พวกเขาก็ต่อต้านกัน จะชุมนุมสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล น้อยมากหรือเกือบไม่มีเลยที่เขาจะไม่อนุญาต เพราะเขาถือว่าการชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แต่ของไทย แน่ใจหรือครับว่าตำรวจจะอนุญาตให้จัดการชุมนุม เพราะอะไร? เพราะตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย ต้องการให้เกิดความสงบขึ้นในบ้านเมือง ดังนั้นผมเชื่อว่าโดยพื้นฐานของตำรวจ เขามองว่าการชุมนุมคือการก่อความวุ่นวาย ฉะนั้น ตำรวจไทยยากจะอนุญาต แล้วยิ่งถ้าการชุมนุมนั้นๆ เป็นการชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลด้วยแล้ว ผมไม่เชื่อว่าตำรวจไทยจะยอมให้ชุมนุม” อาจารย์บุญส่ง กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ ถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่มองว่า กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจอย่างไม่จำกัดขอบเขตให้ชัดเจน อีกทั้งประชาชนยังไม่สามารถไปร้องทุกข์หรืออุทธรณ์ต่อศาลปกครองได้ด้วย
เท่ากับว่า “คนเล็กคนน้อย” หมดโอกาสตามหา “ความเป็นธรรม” ในทุกช่องทาง!!!
“ถ้ากฎหมายฉบับนี้ออกมาเต็มรูปแบบขนาดนี้ โอกาสที่พี่น้องประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ ที่จะมาเคลื่อนไหวเรียกร้อง หรือถูกนายทุนนายจ้างกดดันเอารัดเอาเปรียบ ก็หมดโอกาสออกมาเคลื่อนไหว เพราะถ้าออกมาก็ต้องขออนุญาต และดุลยพินิจในการอนุญาตก็ไม่ได้ตีกรอบไว้ ผมจึงคิดว่าดุลยพินิจที่จะให้มีการชุมนุมได้ คงจะยากมาก
และโดยเฉพาะรัฐบาลมักจะมีจิตใจคับแคบ ผู้มีอำนาจรัฐมักมีจิตใจคับแคบ แล้วถ้าสิทธิในการชุมนุมมีน้อยลงแล้ว การที่จะไปพึ่งพาองค์กรอื่นก็คือศาลปกครอง แต่ในกรณีที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิทางศาลปกครองได้แล้ว พี่น้องเหล่านั้นก็จะเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วก็หมดโอกาสที่จะไปเรียกร้องความเป็นธรรม” อดีต สส.สงขลา แสดงความกังวล
ในประเด็นที่ผู้สนับสนุนกล่าวว่า ในต่างประเทศการชุมนุมต่างๆ ก็มีกฎหมายจัดระเบียบ ประเทศไทยจึงควรจะมีบ้าง ถาวร มองประเด็นนี้ว่า ต้องดู “คุณภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ” ด้วยว่าของไทยกับของต่างประเทศเหมือนกันหรือไม่? โดยในประเทศที่เจริญแล้ว ผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ จะให้บริการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับประเทศไทย ที่ผู้ปกครองมักไม่ค่อยใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนเท่าที่ควร
“ฉะนั้นถ้าการบริการภาครัฐก็ไม่ดี การชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องให้ได้รับความเป็นธรรม หรือให้ได้รับความยุติธรรมก็ถูกตัดโอกาส ผมคิดว่ากฎหมายฉบับนี้ จะเป็นกฎหมายในเชิงเผด็จการ เพราะตัดสิทธิ์พี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเกือบหมด” ถาวร ระบุ
จากข้อสังเกตนี้ มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความคับแคบของฝ่ายรัฐ โดย อาจารย์บุญส่งเล่าว่า มีครั้งหนึ่งที่ไปพูดคุยกับชาวนาที่ออกมาปิดถนนประท้วง กรณีไม่ได้รับเงินโครงการรับจำนำข้าว ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นคนของฝ่ายรัฐบาล “ขอความร่วมมือ” ให้กลุ่มชาวนาไปปิดถนนอีกเส้นหนึ่งซึ่งเป็น “ถนนร้าง” ไม่มีรถแล่นผ่าน
ชาวนาจึงย้อนถามว่า..ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ภาครัฐจะสนใจความเดือดร้อนของพวกเขาหรือเปล่า?
“ผมเคยสัมภาษณ์ชาวนาในต่างจังหวัด ซึ่งออกมาชุมนุมเรื่องจำนำข้าว เขาออกมาปิดถนนกัน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล มาบอกว่า..โอ๊ย! อย่ามาปิดถนนนี้ ให้ไปปิดอีกถนนหนึ่ง..แล้วจะไปปิดทำไมถนนอีกด้านของหมู่บ้าน? เพราะถนนนั้นไม่มีรถวิ่งสักคัน ชั่วโมงนึงรถจะวิ่งมาสักคัน บอกให้ไปปิดตรงนั้น ซึ่งกรณีแบบนี้มันก็ไม่เกิดผล ก็เหมือนตอนที่มีกองทัพประชาชน ชุมนุมครั้งแรกที่สวนลุมพินี เริ่มต้นสามพันคน เข้าไปชุมนุมแล้วก็หายหมด มันไม่เกิดผลอะไรกับรัฐบาลเลย” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ม.รังสิต อธิบาย
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
หมายเหตุ : อ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ที่ http://library2.parliament.go.th/giventake/content_nla2557/d022558-06.pdf
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี