วันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี ตรงกับ “วันนักข่าว” วันสำคัญกับวิชาชีพสื่อมวลชน โดยเฉพาะในปี 2558 นี้ถือเป็นวาระพิเศษเนื่องจาก สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 5 มีนาคม 2498 ครบรอบ 60 ปี ในวันนี้ด้วย
เมื่อพูดถึงวงการสื่อมวลชน เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ส่วนหนึ่งแสดงความเห็นอกเห็นใจสื่อ ที่ไม่อาจทำหน้าที่อย่างมีเสรีภาพได้มากนักเพราะถูกแทรกแซงไม่ว่าจากอำนาจรัฐหรืออำนาจทุน ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง มองว่าการทำงานของสื่อเองก็มักจะไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นบ้าง เช่น ล่าสุดกับกรณีอื้อฉาวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่ง ที่พาดหัวข่าวคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก บรรยายด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า เพราะปัจจุบัน ธุรกิจสื่อมีการแข่งขันสูง “เรตติ้ง-ยอดขาย”เป็นตัวชี้วัด “รายได้-ผลกำไร” ยิ่งมากก็ยิ่งดี ทำให้บางครั้ง สื่อเองก็เผลอทำอะไรที่ “เกินเลย” ไปบ้าง ขณะที่ฝ่ายผู้บริโภค ส่วนใหญ่แล้วยังขาด “ความรู้เท่าทัน” จึงทำให้เกิดปัญหามากมายขึ้น
“สื่อเองพอมีความหลากหลายมากขึ้น มีการแข่งขันมากขึ้น สื่อจำนวนนึงก็มุ่งเน้นในด้านเรตติ้ง เน้นเรื่องของยอดขาย จนหลายครั้งอาจจะละเลยเรื่องของจริยธรรมไป อันนั้นก็จะเป็นสิ่งที่น่าห่วง ผู้บริโภคเองก็จะต้องช่วยกันจับจ้องมองสื่อ ช่วยกันตรวจสอบการทำงานของสื่อมวลชน ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
60 ปีที่ผ่านมา แน่นอนอาจจะมีเรื่องการเรียกร้องต่อสู้เรื่องเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน แต่หลังจากนี้การเรียกร้องเสรีภาพอย่างเดียวมันไม่พอแล้ว มันจะต้องเรียกร้องคนทำงานสื่อเองให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กันไปด้วย” อาจารย์มานะ กล่าว
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อาจารย์ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ย้ำว่า แม้เรื่องจริยธรรมจะเป็นเรื่องที่พูดกันแบบ “ซ้ำๆ ซากๆ” แต่ก็ต้องเตือนกันต่อไป เพราะที่ผ่านมายังคงพบเห็นการทำหน้าที่สื่อที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิผู้ตกเป็นข่าว โดยติดจากความเคยชินที่ปฏิบัติต่อๆ กันมา
“เรื่องจริยธรรม ถึงจะพูดกันซ้ำๆ ซากๆ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะ หลายอย่างก็หลงลืมจนคิดว่ามันทำได้ จริงๆ มันทำไม่ได้ หลายอย่างที่ทำกันอยู่นี่มันทำไม่ได้ สื่อที่มีอารยะเขาไม่ทำกัน ก็ยังทำกันอยู่ เพราะว่าความเคยชิน แล้วก็ทำกันต่อไป หลายๆ อย่างไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่เกี่ยวกับคนที่ตกเป็นข่าว อะไรต่างๆ นานา ตรงนี้ก็สำคัญ
เพราะเวลามันออกมา คนก็มองสื่อเป็นมิติเดียว สื่อก็แย่หมด ทั้งที่จริงๆ มันไม่ใช่ หรือสื่อเดียวกัน บางเรื่องอาจจะดี บางเรื่องอาจจะย่อหย่อนทางจริยธรรม มันก็ถูกมองในมิติลบหมด ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ คุณมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ฉะนั้นทำยังไงจะลดข้อเสียและชูข้อดีให้ชัดๆ” อาจารย์พิรงรอง ให้ความเห็น
กระทั่งคนในแวดวงสื่อเอง ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา (สำนักข่าวอิศรา) ก็ยังเสนอให้ “ปฏิวัติ” วงการสื่อทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นคนประกอบวิชาชีพสื่อหรือเจ้าของสื่อ โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อ 1.ทิศทางการนำเสนอข่าว นอกจากนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยังต้องเลือกนำเสนอประเด็นที่ “มีประโยชน์ต่อสาธารณะ” ด้วย มิใช่แต่เพียงทำข่าวประเภท “เกาะกระแสเรียกเรตติ้ง” เท่านั้น
2.วิธีการนำเสนอ ต้องบอกว่า “เลิกเสียที” กับความเคยชินเดิมๆ เช่น ถ่ายภาพศพที่ดูสยดสยองมาเป็นภาพประกอบพาดหัว บรรยายเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิเด็กหรือสตรีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น ซึ่งคนข่าวอาวุโสรายนี้ ตั้งคำถามแรงๆ ว่าสิ่งที่วงการสื่อทำกันจนเคยชินขณะนี้ “ได้ประโยชน์อะไร?”
“การนำเสนอข่าวต้องตามข้อเท็จจริง และต้องมุ่งเน้นประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก ตัวองค์กรสื่อก็ดี เจ้าของสื่อก็ดี ก็ต้องยอมรับเสียก่อน ถ้าคุณไม่ยอมรับตรงนี้ คุณก็จะเสนอข่าวหวังผลในแง่ยอดอย่างเดียว อย่างเช่นล่าสุด สื่อออนไลน์บางฉบับ ไปเอาภาพที่บอกว่าเป็นคลิปหลุดดารากำลังมีเพศสัมพันธ์มาลง แบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควร สื่อหวังแต่ยอดขาย ถ้าเกิดเจ้าของสื่อ หรือ บก. ไม่ตระหนักตรงนี้ ไม่เข้มงวด มันก็แก้ไขปัญหาไม่ได้
แล้วส่วนของการละเมิดสิทธิ์ อันนี้คนข่าวต้องถูกฝึก บก. ก็มีส่วน ต้องฝึกนักข่าวด้วยว่าการนำเสนอข่าวไม่ได้แค่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่ต้องนำเสนอ แต่ต้องไม่ไปละเมิดคนอื่นอย่างชัดเจน เช่นเรื่องรูปศพ ถามว่าการลงภาพศพเละๆ เน่าๆ อุจาด หรือลงประจานเด็ก ประจานผู้หญิงถูกข่มขืน ถามว่ามันได้ประโยชน์อะไร? มันไม่ได้ประโยชน์ วิธีคิดคนทำข่าวต้องเปลี่ยน ไม่ใช่อยู่สายอาชญากรรมมายี่สิบสามสิบปี ก็ถ่ายแต่แบบนี้ มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดเลย” ผอ.สถาบันอิศรา ระบุ
และ 3.คุณภาพของข่าว คนข่าวอาวุโสรายนี้ มองว่า นักข่าวไม่ได้ถูกฝึกให้ทำข่าวที่มีคุณภาพ หรือ “ข่าวสืบสวนสอบสวน” (Investigative) โดยหากเป็นนักข่าวรุ่นเก่า บุคลิกประจำตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ “เรียนรู้ตลอดชีวิต” ซึ่ง
ไม่แน่ใจว่านักข่าวรุ่นใหม่ จะยังมีนิสัยดังกล่าวเฉกเช่นรุ่นพี่ๆ หรือไม่? อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะว่าการทำงานข่าวยุคปัจจุบัน เป็นการทำข่าวลักษณะ “งานประจำที่” (Routine) มากเกินไป นักข่าวที่อยู่ประจำจุดต่างๆ จึงเคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่ ขณะที่การทำข่าวสืบสวนสอบสวน ต้องลงทุนลงแรง ใช้ความละเอียดรอบคอบค่อนข้างมาก
“นักข่าวสมัยก่อนนี่เรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่ผมไม่ทราบว่านักข่าวรุ่นนี้เรียนรู้ตลอดชีวิตหรือเปล่า? ทำข่าวตามความเคยชิน ถามคำถามซ้ำๆ เดิมๆ อาจจะเป็นปัญหาที่โครงสร้างด้วยก็ได้ เพราะถูกมอบหมายให้ทำงานรูทีน (งานประจำที่) จนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น แล้วตัวเองก็พออกพอใจกับงานตรงนั้น อันนี้ก็อยู่ที่โครงสร้างบวกวิธีคิดในการทำงาน เพราะการทำข่าวสืบสวนมันยาก มันต้องลงพื้นที่ ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการดูเอกสารต่างๆ
ถ้าคุณเปลี่ยน 3 เรื่องนี้ไม่ได้มันก็ไม่มีความหมาย แล้วอาชีพของเราได้ถูกดูหมิ่นดูแคลนให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนวิธีคิดมาทำข่าวเชิงคุณภาพ ทุกวันนี้ถามไปถามมา ไม่เคยรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่เคยไปสนใจ ทำข่าวตามกระแสไปเรื่อยๆ ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าคุณทำ 3 เรื่องนี้ไม่ได้ อาชีพเราก็จะตกต่ำไปเรื่อยๆ” ประสงค์ กล่าวย้ำ
นอกจากการนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงและมีประโยชน์ต่อสาธารณะแล้ว “การสลายความขัดแย้ง” ก็เป็นอีกทักษะที่นักข่าวไทยยุคใหม่ควรมี เนื่องจาก ณ วันนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ”อีกครั้งหนึ่ง มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา และอื่นๆ อีกมากมาย
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) กล่าวว่า สื่อมวลชนไทยเคยชินกับการรายงานข่าวลักษณะขยายความขัดแย้ง เรียกว่า “ยิ่งทะเลาะกันมากๆ ยิ่งดี” เพราะเชื่อว่าเป็นตัวดึงดูดให้เนื้อข่าวมีความน่าสนใจ ทว่าสังคมไทยปัจจุบัน มาถึงยุคที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง การทำข่าวแบบเดิมๆ อาจเข้าข่าย “เติมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟ” จนสุ่มเสี่ยงทำให้เหตุการณ์บานปลาย จึงอยากให้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย
“ผมเรียกร้องไปยังสมาคมวิชาชีพข่าว ให้เอาเรื่องการรายงานข่าวเพื่อลดความขัดแย้ง เป็นภารกิจหนึ่งขององค์กรวิชาชีพ ให้การอบรมนักข่าว หรือองค์กรสื่อเอง เช่น บรรณาธิการ หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มทักษะบุคลากรด้านข่าวบ้าง เพราะส่วนใหญ่เรามุ่งพัฒนาด้านไอที ด้านเทคโนโลยีการผลิต แต่ไม่ได้มาดูทีมบรรณาธิการหรือทีมข่าว ว่าถ้าจะรายงานข่าวความขัดแย้ง เราจะทำยังไง? แล้วสถาบันการศึกษา คณะหรือภาควิชาที่มีการเรียนการสอนเรื่องข่าว ต้องหันมาดูว่าสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งสูง ควรจะต้องมีการเพิ่มรายวิชาตรงนี้ลงไปบ้าง
SCOOP@NAEWNA.COM
ไม่งั้นมันก็จะเรียนจะสอนกันแบบเดิมๆ ไม่มีการปฏิวัติว่าคนทำงานวิชาชีพสื่อที่มีคุณภาพมันเป็นยังไง? อันนี้คือวิชาวารสารศาสตร์เพื่อสลายความขัดแย้ง ก็คือการรายงานข่าวที่ไหวรู้ต่อสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ เช่น ไฟใต้ ศาสนา สถาบันเบื้องสูง ชาติพันธุ์ แล้วเดี๋ยวนี้มีเรื่องความหลากหลายทางเพศด้วย นี่เป็นความขัดแย้งที่เราเริ่มชาชิน โอเค..ผมเห็นรณรงค์กันทุกปีเรื่องจริยธรรมกับความรับผิดชอบ แต่ผมอยากฉีกแนว ไปพัฒนาหาไอเดียใหม่ๆ ในการทำข่าว สำหรับนักสื่อสารมวลชนไทยบ้าง ก็จะดีครับ” อาจารย์ธาม ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี