ในชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมีสักกี่คนที่ “ไม่เคยทำผิด” แม้สักครั้งเดียว ขึ้นชื่อว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมต้องเคยทำผิดกันบ้าง ตั้งแต่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดระบุโทษไว้ ไปจนถึงการทำผิดต่ออาญาแผ่นดิน ที่โดนปรับบ้าง ติดคุกตะรางบ้างตามแต่ความร้ายแรงของข้อหานั้นๆ
ทว่าสิ่งที่พบในความเป็นจริง แม้คนเหล่านี้จะ “ชดใช้กรรม” ตามสมควรด้วยการถูกจำกัดอิสรภาพในเรือนจำแล้ว แต่เรื่องราวกลับไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อพวกเขาพ้นโทษออกจากเรือนจำ สังคมมักมองพวกเขาด้วยความหวาดระแวง ไปสมัครงานไม่ว่าราชการหรือเอกชนก็ไม่มีใครรับ ขณะที่การประกอบอาชีพส่วนตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ แม้ขณะที่อยู่ในเรือนจำ จะมีการฝึกอาชีพหรือได้ศึกษาต่อก็ตาม
จึงไม่ต้องแปลกใจ..ที่พวกเขาจะกลับไป “ทำผิดซ้ำซาก”!!!
ที่งานเสวนา “คนดี (?) มีประวัติ ไม่มีงานทำ” ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือน มี.ค. 2558 ที่ผ่านมา นายสาโรช นักเบศร์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 6 สำนักอัยการสูงสุด กล่าวว่า โดยปกติแล้ว การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมนั้น ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 24 ระบุถึงแนวปฏิบัติว่าข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถถูกเปิดเผยได้หากเจ้าตัวไม่ยินยอม
เว้นแต่เงื่อนไขตามกฎหมายบางประการที่อนุญาต เช่น สำหรับงานสืบสวนสอบสวน การฟ้องคดี หรือการป้องกันการ
กระทำผิด หรือการกำหนดเงื่อนไขการสมัครสอบเข้ารับราชการ ที่มีกฎหมายรองรับอยู่ ขณะที่เอกชนนั้นไม่มีกฎหมายใดรองรับ ผู้ประกอบการจึงมักใช้วิธีกำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ว่าผู้ที่เข้ามาสมัครงานยินยอมให้ตรวจประวัติอาชญากรรมได้ ท้ายที่สุดแล้วเลยกลายเป็นการ “บังคับ” คนกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย
“มาตรา 24 เขากำหนดไว้แล้วว่าข้อมูลส่วนบุคคลนี่เปิดเผยไม่ได้ เว้นแต่ได้รับความยินยอมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทีนี้ในส่วนของหน่วยงานราชการ เขามีกฎหมาย มี พ.ร.บ. อยู่แล้วว่าให้กำหนดได้ ดังนั้นตำรวจก็ต้องแจ้งไปตามนั้น แต่พอมาเอกชนมันไม่ได้มีกฎหมายรองรับ ดังนั้นถ้าทำเรื่องขอมามันต้องมีหนังสือยินยอม แล้วทำไมคนที่จะเข้ามาสมัครงานต้องยินยอม เพราะถ้าไม่ยินยอมเขาก็ไม่รับ มันก็เหมือนการบังคับกลายๆ” นายสาโรช กล่าว
อัยการรายนี้ กล่าวต่อไปว่า การที่ตรวจสอบแล้วพบว่าเคยมีประวัติอาชญากรรมแล้วไม่รับเข้าทำงาน ถือว่าขัดต่อ “สิทธิในการประกอบอาชีพ” ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังขัดต่อเจตนารมณ์ “คืนคนดีสู่สังคม”ที่หลังจากผู้กระทำผิดรับโทษแล้ว จะได้กลับไปประกอบอาชีพเยี่ยงสุจริตชน ไม่ต้องไปกระทำผิดซ้ำอีก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้พบว่าหลายหน่วยงานมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบไปในทางที่ดีขึ้น เช่น สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตัดเงื่อนไข “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ออกไปสำหรับการเปิดรับสมัครบุคคลเข้าเป็นพนักงานราชการ หรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่แก้ไขกฎระเบียบให้สามารถรับคนมีประวัติคดีเข้าทำงานได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ก็ถือว่ายังพอให้โอกาสคนกลุ่มนี้บ้าง
“อยากให้แต่ละหน่วยงานไปพิจารณาผ่อนปรน เช่น อาจจะเอาอย่างรัฐวิสาหกิจก็ได้ กำหนดเวลาไว้ เช่นถ้าพ้นโทษจำคุกมาแล้วเกิน 5 ปี เขารับ อย่างนี้ก็ถือว่าให้โอกาสแล้วเหมือนกัน หรือของอัยการ เรารับเข้ามาก่อน แล้วค่อยใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการอัยการพิจารณาว่ามันขัดกับลักษณะงานไหม? ถ้าขัดก็ไม่เอา แต่ถ้าไม่ขัดก็เอา” นายสาโรช ระบุ
ขณะที่ ศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอแนะเพิ่มเติมว่า อยากให้มีหลักเกณฑ์กำหนดเกี่ยวกับ “ความผิดประเภทใดไม่ควรทำงานชนิดใด” เช่น อาชีพครูหรือพี่เลี้ยงเด็กเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับผู้เคยต้องโทษคดีล่วงละเมิดทางเพศ หรืออาชีพด้านการเงินเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับผู้เคยต้องโทษคดีทุจริต เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น
“ถ้าคุณเข้าทำงานในระบบการเงิน ก็จะมีเงื่อนไขในการทำงานต้องไม่มีประวัติการทำงานในทางทุจริต คนที่ไปทำงานเกี่ยวกับเด็ก โรงเรียนก็จะต้องถูกเคลียร์ประวัติ ไม่งั้นเราก็จะเจอคนบ้าๆ บอๆ แล้วก็ส่งลูกไปเรียน หรือกรณีอื่นๆ ที่ลักษณะการทำงานจะต้องเซนซิทีฟเป็นพิเศษ ในด้านทะเบียนประวัติ” อาจารย์สุรศักดิ์ ฝากทิ้งท้าย
แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่หนทางที่จะไปถึงนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะ “ปัจจัยทางสังคม” ไม่ว่าจะโดย “อคติ” กับบรรดาผู้เคยกระทำผิดเหล่านี้แบบ “เหมารวม” ไม่แยกแยะว่าเคยทำผิดในข้อหาอะไร? ด้วยสาเหตุอะไร? ตามคติที่มองว่า “การลงโทษคือการล้างแค้น” หรือโดยสภาพแวดล้อมที่การแข่งขันสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงมักเลือกคนที่ดูแล้ว “ไม่มีปัญหา” ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับองค์กร ซึ่งโดยปกติผู้ที่เคยต้องโทษ หรือแม้แต่เคยมีประวัติฟ้องคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล มักถูกมองว่า “หัวรุนแรง” ปกครองยาก และอาจก่อความวุ่นวายได้
แนวคิดเช่นนี้ยังถือว่า “ใหม่” สำหรับสังคมไทย จึงต้องใช้เวลาไม่น้อยสำหรับทำความเข้าใจกับสาธารณชน!!!
ชนัดดา บุญครอง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี