“ภัยแล้ง” ปีนี้สาหัส ชาวไร่ชาวนาอย่าว่าแต่น้ำทำนาไม่มี บางพื้นที่น้ำจะกินยังหายาก แตกต่างจาก “ชาวกรุง” ที่มีน้ำใช้เหลือเฟือ จนบางครั้งหลงลืมที่จะ “ประหยัด”โดยเฉพาะบางประเภทธุรกิจที่ถูกมองว่าเทน้ำเทท่ากันอย่าง “ฟุ่มเฟือย”.....
อาบอบนวด.!!!
แหล่งพักกายของชาย “ขี้เมื่อย” เป็นธุรกิจหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นตัวการ “แย่งน้ำ” ของชาวไร่ชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้งหนึ่งเมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ภัยแล้งลุกลามหนัก ถึงขั้นมีการเสนอให้ “จำกัด” การจ่ายน้ำให้อาบอบนวด เพราะสถานปล่อยอารมณ์ประเภทนี้ใช้น้ำมหาศาล และ “ไม่จำเป็น”
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านอาบอบนวด บอกว่า อาบอบนวดเป็นธุรกิจที่สิ้นเปลือง และใช้น้ำฟุ่มเฟือยมากที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาปรับเพิ่ม “อัตราค่าน้ำ” ธุรกิจประเภทนี้ใหม่ โดยเก็บคนละอัตรากับประชาชน หรือธุรกิจทั่วๆ ไป เพราะใช้น้ำจำนวนมาก บางครั้ง “ทิ้งน้ำ” ไปเป็นจำนวนมหาศาล โดยอาบอบนวดในกรุงเทพฯเฉพาะที่มีใบอนุญาตมี 30-50 แห่ง ถ้าทั่วประเทศราว 100 แห่ง
“แต่ละวันอาบอบนวดใช้น้ำมหาศาล พอๆ กับสนามกอล์ฟ 10 สนาม ถ้าเขาบอกว่าวันนี้เขาได้ 500 รอบ แสดงว่าใช้น้ำ 500 อ่าง 1 อ่าง อย่างเล็กๆ ใช้น้ำ 200 ลิตร แต่ปัจจุบันอาบอบนวดหลายแห่งเปลี่ยนไปใช้อ่างจากุซชี่มากขึ้น ซึ่งใช้น้ำครั้งละ 500-1,000 ลิตร และอย่าลืมว่าบางครั้งแขก 1 คน ใช้น้ำ 2 ครั้ง/1 รอบ เพราะบางทีลงอ่างล้างตัวเสร็จแล้ว เมื่อเสร็จภารกิจยังต้องล้างตัวอีก เบ็ดเสร็จอย่างอ่างเล็กๆ ใช้วันละ 2 แสนลิตร” ชูวิทย์ คำนวณให้เห็น
ขณะที่ภาครัฐพยายามรณรงค์ให้ประหยัดน้ำ แต่อาบอบนวดดูจะทำได้ยากเพราะ “ยิ่งแล้ง ยิ่งร้อน ยิ่งผลาญ”!!!
อดีต “เสี่ยอ่าง” ผู้ช่ำชองในธุรกิจนี้ บอกว่า อาบอบนวดประหยัดน้ำไม่ได้ เพราะต้องใช้น้ำเป็นตัว “เรียกแขก” ยิ่งหน้าแล้งหน้าร้อนยิ่งประหยัดไม่ได้ เพราะลูกค้าจะยิ่งร้อนยิ่งมาเที่ยวเพิ่มขึ้น บางแห่งอ้างว่าใช้อ่างเล็กๆใช้น้ำไม่มาก ไม่จริงหรอก ยิ่งเดี๋ยวนี้หลายๆแห่งใช้อ่างคล้ายๆ “พูล วิลล่า” ที่ลงแช่น้ำได้ครั้งละหลายๆคนด้วย ยิ่งเปลืองเข้าไปใหญ่ ที่สำคัญส่วนใหญ่มักลงไปแช่แค่ลูกค้ากับพนักงานนวด 2 คนด้วยซ้ำ แล้วน้ำก็ถูกทิ้งไป
“อาบอบนวด ใช้น้ำมาก ใช้ไม่ระวัดระวัง สิ้นเปลือง บางแห่งมีอ่างจากุซชี่ขนาดใหญ่น้องๆ สระว่ายน้ำ ลงไปแช่ 2 ทีขึ้น น้ำยังสะอาดอยู่เลย ก็ทิ้งแล้ว บางที่ยังไม่แช่ก็ทิ้งแล้ว ดูอย่างเดียวเพราะไปทำอย่างอื่นเสียก่อนแล้ว น้ำถูกทิ้งทั้งๆที่ยังสะอาด” ชูวิทย์ กล่าว
แม้ “ภัยแล้ง” จะลุกลามหนัก แต่อาบอบนวดในกรุงเทพฯไม่สะเทือน ยังมีน้ำไว้บริการลูกค้าอย่างชุ่มฉ่ำ.....ถามว่าทำไม???
“เสี่ยอ่าง” เฉลยว่า แล้งแค่ไหนอาบอบนวดก็ไม่เดือดร้อน เพราะในกรุงเทพฯกว่า 80% ลักลอบใช้ “น้ำบาดาล” ตรงนี้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบน่าจะไปตรวจสอบบ้างรับประกันว่าเจอ “ทีเด็ด” แน่ๆ บางแห่งจ่ายค่าน้ำประปาเดือนละไม่กี่หมื่นบาท ซึ่งตามหลักความจริงเป็นไปไม่ได้
เขาเสนอว่า อาบอบนวดเป็นธุรกิจที่ใช้น้ำฟุ่มเฟือยใช้น้ำแบบทิ้งขว้าง อัตราค่าน้ำควรเป็น “อัตราพิเศษ”!!!
“อาบอบนวดบางแห่งเก็บค่าบริการ 6,000-8,000 บาท/ครั้ง/รอบ และใช้น้ำเยอะขึ้นตามราคา แต่ค่าน้ำไม่เท่าไร หักค่าบริการมาจ่ายค่าน้ำยังกำไรเห็นๆ ภาครัฐต้องปรับอัตราค่าน้ำอาบอบนวดใหม่ คำนวณจากจำนวนห้อง หรือขนาดธุรกิจ เจ้าของธุรกิจก็ผลักภาระค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นไปให้ลูกค้าด้วยการเพิ่มค่าบริการ ลูกค้าหน้ามืดมาเที่ยวก็พร้อมจ่ายอยู่แล้ว” ชูวิทย์ กล่าว
ขณะที่ผู้บริหารอาบอบนวดบางแห่ง ยืนยันน้ำถือเป็นทรัพยากรที่ “มีราคา” อย่างยิ่ง เดือนๆ หนึ่งพวกเขาเสียค่าน้ำมากโข และมีมาตรการประหยัดมาตลอด ไม่เฉพาะช่วงเจอวิกฤติภัยแล้ง.....
“ศักดิ์” ผู้จัดการอาบอบนวดของ “โพไซดอน”อาบอบนวดชื่อดัง บอกว่า โพไซดอน “เซฟ” การใช้น้ำมาตลอด เพราะเป็นรายจ่ายค่อนข้างสูง ธุรกิจอาบอบนวดถือว่าค่าน้ำเป็น “หัวใจ” ของค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องประหยัด ที่โพไซดอนจะแจ้งพนักงานว่าควรใช้น้ำลักษณะใด “หมอนวด” ต้องถามความต้องการลูกค้าก่อน
“เช่น กรณีลูกค้าไม่อยากแช่น้ำก็ไม่เปิดน้ำ หรือลูกค้าลงห้องสูทรวม ก่อนเปิดน้ำลงอ่าง ต้องถามลูกค้าว่าจะลงอ่างหรือไม่ ถ้าไม่ก็ไม่ต้องเปิดน้ำ บางที่จะเปิดน้ำ ตีฟอง รอลูกค้าเลย แต่ที่โพไซดอนไม่ใช่ เราถามก่อนจะเปิดก๊อกน้ำแต่ละตัว เพราะค่าน้ำของเราแต่ละเดือนสูงเป็นหลักแสนบาทขึ้นไป” ศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ “การประปานครหลวง” (กปน.) เคยคำนวณ ว่า การใช้น้ำของธุรกิจอาบอบนวด 1 แห่ง กรณีมีห้องนวดในระดับ 500 ห้อง พบว่า ทุกวันต้องมีการเตรียมน้ำในอ่าง และฝักบัว เพื่อรอบริการแขกไม่น้อยกว่า 1,000 ลิตร/คน/ชั่วโมง ซึ่งขัดกับมาตรฐานที่คน 1 คน จะใช้น้ำวันละ 200 ลิตร เช่น ถ้าอาบอบนวดมีแขก 400 คนต่อวัน ใช้น้ำราว 4 แสนลิตรต่อวันเท่ากับการใช้น้ำของคนเมือง 2,000 คนต่อวัน และเพียงพอต่อคนชนบท 8,000 คนต่อวัน
ถามว่า กปน.เข้าไปควบคุมการใช้น้ำของอาบอบนวดได้หรือไม่.???
ตรงนี้ทำไม่ได้ แต่ กปน.ไม่ได้ละเลย!!!
“ธนศักดิ์ วัฒนฐานะ” ผู้ว่าการ กปน. บอกว่า กปน.ไม่มีอำนาจเข้าไปควบคุมการใช้น้ำของอาบอบนวด เวลานี้เราทำได้เพียง “วิงวอน” ให้ทุกภาคส่วน รวมถึงอาบอบนวดใช้น้ำอย่างประหยัด อาจไม่ต้องเปิดน้ำอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเต็มอ่าง จะให้จ่ายน้ำให้อาบอบนวดน้อยลงคงทำไม่ได้ เพราะระบบ “ท่อประปา” เป็นเส้นเดียวกับบ้านทั่วๆไป แต่ที่อาจทำได้ คือ อัตราค่าน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
“แม้การจัดเก็บค่าน้ำอาบอบนวดจะสูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไป แต่เป็นอัตราที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับความสูญเสียน้ำ สูงสุดของเขาแค่ราวๆ 15 บาท ในส่วนที่เกิน 200 หน่วยขึ้นไปอนาคตปี 2560 คงมีการปรับค่าน้ำเพิ่มขึ้นในทุกภาคส่วน เพราะจัดเก็บอัตราเดิมมา 16 ปีแล้ว ซึ่งอาบอบนวดคงต้องเก็บมากกว่าเพื่อน เพราะใช้น้ำฟุ่มเฟือย” ผู้ว่าการกปน.กล่าว
ภัยแล้งที่กำลังเป็นวิกฤติเช่นนี้ มีหลายมาตรการที่จะประหยัดน้ำได้อย่างชาย “ขี้เมื่อย” และ “อาบอบนวด”อาจช่วยชาติได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาอาบน้ำด้วยฝักบัว.....
งดลงอ่าง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี