“ตาย”!!!
เป็นวัฏจักรชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีใครหนีพ้น แต่เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัยมากขึ้น ทำให้บรรดาญาติๆหวังว่าจะมีส่วนช่วย “ยื้อชีวิต” ผู้ป่วยขั้นรุนแรงหรืออยู่ใน “ระยะสุดท้าย” ไปได้อีกระยะหนึ่ง ผู้ป่วยจำนวนมากจึงตกอยู่ในสภาพ...
“ฟื้นไม่ไหว ตายไม่ได้”!!!
ขณะเดียวกันเชื่อว่าคงมีบ่อยครั้งที่แพทย์ผู้รักษาต้องลำบากใจในการตัดสินใจรักษา เมื่อผู้ป่วยรู้ตัวดีว่าถึงเวลาต้องก้าวสู่ “ปรภพ” ไม่อยากทุกข์ทรมานอีก จึงร้องขอให้ช่วยทำให้เขาจากไป แต่แพทย์ทำไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายและจรรยาบรรณ
ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงเป็นที่มาของแนวคิดเรื่อง“สิทธิการตาย” (Right to Die) สิทธิการกำหนดวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยตัวเอง!!!
“สิทธิการตาย” เป็นสิทธิที่คนไทยได้รับตั้งแต่ปี 2550 ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่บัญญัติการตายของผู้ป่วย เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจไม่รับการรักษา เพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่วย และพร้อมเข้าสู่ “วาระสุดท้าย”
ตามกฎหมายฉบับดังกล่าว...วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้”...วรรคสอง บัญญัติว่า “การดำเนินการตามหนังสือเพื่อแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง”...วรรคสาม บัญญัติว่า “เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”
แม้จะได้รับสิทธิดังกล่าวมากว่า 8 ปี แต่คนไทยใช้สิทธิ์นี้ไม่ถึง 1% เพราะยังขาดความรู้ความเข้าใจ และตีความคลาดเคลื่อน ซึ่งต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับทั้งผู้ป่วยญาติ บุคลากรทางการแพทย์ที่อาจกังวลถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจในวาระสุดท้ายของผู้ป่วย
“มาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 ได้บัญญัติสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ซึ่งในต่างประเทศเรียกว่า Living Will คือ ให้มีการแสดงความจำนงไว้ล่วงหน้าได้” นพ.อำพล จินดาวัฒนะเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง “ผ่าทางตัน...สิทธิการตายตามธรรมชาติ” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ หรือ สช.เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
นพ.อำพล กล่าวด้วยว่า Living Will มีความหมายมากกว่าใบแสดงความยินยอมรับการผ่าตัด หรือยินยอมรับการรักษาพยาบาล เพราะจะเป็นเครื่องมือและช่องทางที่ผู้ป่วยได้ทำความเข้าใจกับญาติและแพทย์ผู้ดูแลไว้ล่วงหน้าถึงเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตตน ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปฏิบัติได้ถูกต้อง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของผู้ป่วยและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยที่พึงได้รับตามหลักแห่งจริยธรรมของวิชาชีพด้านสุขภาพไปพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้ “วรรคสอง” ของมาตรา 12 ยังกำหนดให้การทำหนังสือแสดงเจตนาฯ หรือ Living Will เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่ง “ศาลปกครองสูงสุด” มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า การออกกฎกระทรวงนี้ชอบด้วยกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎกระทรวงมิได้ทอดทิ้งผู้ป่วยที่พึ่งตนเองไม่ได้ เพราะผู้ประกอบวิชาชีพที่ปฏิบัติตามแนวทางในกฎกระทรวงไม่ได้ปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยไม่รักษา หรือใช้ยาและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อยุติชีวิต แต่ยังดูแลแบบ“ประคับประคอง” จนผู้ป่วยเสียชีวิตตามธรรมชาติ จึงไม่มีความผิดฐานทอดทิ้งผู้ป่วยตามประมวลกฎหมายอาญา
“การทำ Living Will หรือหนังสือแสดงเจตนารมณ์สิทธิการตายตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายความว่าต้องทำเป็นหนังสืออย่างเดียว แต่ทำได้หลายวิธี เช่น อัดวีดีโอ บอกญาติ บอกหมอไว้ วัตถุประสงค์จริงๆของมาตรา 12 เพื่อให้คนในสังคมไทยเข้าใจสิทธิในการปฏิเสธการรักษาที่แทรกแซงการตายโดยธรรมชาติ อีกทั้งไม่ใช่การทำพินัยกรรม เป็นเพียงสิทธิของการจากไปโดยธรรมชาติ ตามเจตนาที่บริสุทธิ์ของผู้ป่วยที่ต้องการจากโลกนี้ไปอย่างสงบ” นพ.อำพล กล่าว
ด้าน “สมผล ตระกูลรุ่ง” นักวิชาการกฎหมายอิสระ กล่าวว่า ประชาชนไทยมีสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ได้รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานเอาไว้ว่า “บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตร่างกาย” ดังนั้นแม้ไม่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 12 ใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 สิทธินี้ก็มีอยู่แล้ว ดังนั้นการนำมาบัญญัติไว้ในมาตรา 12 จึงเหมือนเพื่อกระตุ้นและเป็นการรับรองสิทธิว่า “คุณมีสิทธิ์อยู่ จงใช้เสีย”
“บทบัญญัติตามมาตรา 12 เป็นการกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาลมากขึ้น แม้ปกติทำได้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต” สมพล กล่าว
“สมพล” ระบุว่า เนื้อหาของมาตรา 12 คือ การปฏิเสธการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้ตายอย่างสงบตามธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ลักษณะ “การุณยฆาต” หรือการทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยเร็ว รวมถึงไม่ใช่การ “ฆ่าตัวตาย” แต่การตีความว่าอาการป่วยวาระสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แพทย์ผู้รักษา คือ ผู้ที่จะตีความหรือตัดสินใจเรื่องนี้และบอกกับผู้ป่วยได้ดีที่สุด
“กฎหมายนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ว่าหากกระทำตามหนังสือแสดงเจตนาที่จะปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว ถ้ามีการเสียชีวิตขึ้นมาจะไม่สามารถฟ้องร้องแพทย์ได้เลย” สมพล กล่าว
ด้าน “นพ.พรเลิศ ฉัตรแก้ว” อาจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ครอบครัวไทยประกอบด้วยคนหลายคน แต่ละคนยอมรับการตายของคนใกล้ชิดไม่เท่ากัน นี่คือ “ข้อขัดแย้ง” ดังนั้นหนังสือแสดงเจตนาตามมาตรา 12 จะทำให้ข้อขัดแย้งนี้ลดลง แต่การตัดสินใจใช้สิทธิการตายตามธรรมชาติ ควรเป็นการตัดสินใจร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ
“การรักษาเต็มที่อาจไม่ตรงกับความต้องการของคนไข้เสมอไป เราต้องพูดคุยถึงความต้องการของเขาให้มากขึ้น เช่น เขาอาจต้องการพบใครสักคนที่ต้องการอโหสิกรรม เป็นต้น” นพ.พรเลิศ กล่าว
“สิทธิการตายตามธรรมชาติ” เป็นการแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของผู้ป่วยที่ไม่ต้องการทนทุกข์ทรมานอีก ไม่ได้หมายถึงการ “ฆ่าตัวตาย” หรือการขอให้ทำ“การุณยฆาต” เพียงหมายถึงสิทธิที่จะขอตายตามธรรมชาติอย่างสงบ ซึ่ง “คนข้างหลัง” อาจต้องพยายาม “ทำใจ” และ “เข้าใจ”
เพราะอย่างน้อยที่สุดแม้มนุษย์จะ “เลือกเกิด” ไม่ได้...
แต่ขอให้ได้ “เลือกตาย” อย่างสมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ก็ยังดี!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี