การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในเหล่าทัพ โดยเฉพาะตำแหน่ง“ผู้บัญชาการทหารบก” หรือ ผบ.ทบ. กำลังเป็นที่ “จับตา” ซึ่งแม้ว่าชื่อนั้นจะถูก “เคาะ” ไปแล้วเมื่อบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าที่สุดแล้วตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนที่ 39 จะเป็นของใคร ซึ่งน่าจะไม่พ้นไปจาก “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก1(ผช.ผบ.ทบ.1) กับ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาหารทหารบก 2 (ผช.ผบ.ทบ.2) ที่เป็น 2 “แคนดิเดต”
ทั้งนี้ การจัดทำบัญชีปรับย้ายนายทหารประจำปี 2558 ได้ผ่านการหารือของคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลทั้ง 7 ท่าน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน, พล.อ.อุดมเดชสีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะ ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นผู้เสนอชื่อ ผบ.ทบ.คนใหม่
พล.อ.ศิริชัย ดิศฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพล, พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.), พล.ร.อ.ไกรสร จันสุวานิชย์ ผู้บัญชาหารทหารเรือ(ผบ.ทร.) และ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) ก่อนจะส่งต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนาม แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป
ท่ามกลางความมั่นอกมั่นใจของเหล่าทหาร “ลิ้วล้อ” 2 แคนดิเดต ผบ.ทบ. ที่ต่างเชื่อว่า “นาย” ของตัวเองจะได้รับเลือกให้นั่งตำแหน่งสูงสุดนี้ โดยเฉพาะในส่วนของ“บิ๊กหมู”ที่มีข่าวออกมาหนาหูว่าได้เฟ้นหาผู้จะมาดำรงตำแหน่ง “เลขานุการกองทัพบก” คนใหม่ไว้แล้ว ตลอดจนเตรียมรื้อทีมประชาสัมพันธ์ของสำนักงานเลขานุการใหม่ทั้งหมด
ขณะที่ “บิ๊กติ๊ก” แม้ดีกรีเป็น “น้องนายกฯ” แต่จะกลายเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งปัญหาเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินคลาดเคลื่อนต่อคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หรือแม้แต่ยังมีอำนาจสั่งจ่ายบัญชีกองทัพภาคที่ 3 อดีตต้นสังกัด ในขณะที่ดำรงตำแหน่งปัจจุบันอยู่ก็ตาม จนเป็นที่มาของข่าวว่า “บิ๊กติ๊ก”เตรียมเก็บข้าวของออกจากห้องทำงาน พร้อมประสานไปยังสำนักงานเลขานุการกองทัพบก เพื่อขอภาพถ่ายการทำงานของตัวเองในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่กระนั้นก็ยังมีนายทหารที่เชื่อว่า...
“เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ”!!!
สุดท้ายแล้ว “บิ๊กติ๊ก” จะเป็นผู้คว้าเก้าอี้ผู้นำทัพบกไปครอง 100%
ทว่า...หากย้อนประวัติเส้นทางการเติบโตในชีวิตข้าราชการทหารของ 2 แคนดิเดต ผบ.ทบ.จะเห็นว่าเส้นทาง พล.อ.ธีรชัย สวยหรูและเสมือนถูกปูทางให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ.มากกว่า ในฐานะที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 14 (ตท.14) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(จปร.) รุ่นที่ 25 และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ตลอดจนความอาวุโสที่ครองยศ “พล.ต.” ก่อน และผ่านงานคุมกำลังเป็นผู้บังคับหน่วยสำคัญ เช่น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(ผบ.ร.2 รอ.) ทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” ลูกหม้อของค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี
จึงถือเป็น “น้องรัก” ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ “พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกินคำว่า “นายกับลูกน้อง” จนถูกผลักดันให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญเมื่อปี 2551-2552 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และถูกส่งไปปฏิบัติงานสนามสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น ผบ.ฉก.นราธิวาส ปี 2553 ดำรงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1,ปี 2554 เป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก, ปี 2555 เป็นรองเสนาธิการทหารบก
ที่ฮือฮาที่สุด เมื่อปี 2556 สามารถเบียด “มือปราบเสื้อแดง” อย่าง พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพน้อยที่ 1 ในขณะนั้น ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังรบและกำลังปฏิวัติในกทม.ทั้งหมดและมีบทบาทในช่วงที่ คสช.เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 จนได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้า คสช.ให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย(กกล.รส.) จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.ในปัจจุบัน
ส่วน พล.อ.ปรีชา น้องชายร่วม “สายโลหิต” ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(จปร.) รุ่นที่ 26 รับราชการสังกัดกองทัพบก ผ่านการดำรงตำแหน่งหลักๆ อาทิ ประจำศูนย์การทหารราบ ปี 2522 สมัครเป็นศิษย์การบินทหารบก รุ่นที่ 20 จบในปี 2524 จนกระทั่งเข้าเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 67
“บิ๊กติ๊ก” เติบโตในชีวิตราชการในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 โดยเป็นเสนาธิการกองพลพัฒนาที่ 3 รองผู้บังคับการพัฒนาที่ 3 ปี 2550 ดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 เข้าเรียน วปอ.รุ่นที่ 52 และขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ถูกส่งไปปฏิบัติงานสนาม เป็น ผบ.ฉก.ยะลา ก่อนจะกลับมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 3 และปี 2556 ได้รับการผลักดันจาก “บิ๊กตู่”ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ท่ามกลางข้อครหาเติบโตแบบก้าวกระโดด ก่อนดำรงตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.ในเวลาต่อมา
หากพิจารณาจะเห็นว่า “บิ๊กติ๊ก” ไม่ได้เติบโตมาจากสายคุมกำลังหลัก แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นนายทหารจากกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของกลุ่มการเมืองอีกขั้ว ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องการเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศไทย” และเข้าสู่โรดแมปในระยะที่ 3
นั่นแสดงว่าความ “สมานฉันท์-ปรองดอง” เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง รวมทั้งลักษณะนิสัยเป็นนายทหารที่อ่อนน้อมถ่อมตนน่าจะเป็น “ข้อดี” ในการสานต่องานกับฝ่ายการเมืองได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับ “บิ๊กหมู” ที่ถือเป็นนายทหาร “สายบู๊” ยอมหักไม่ยอมงอ
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่นายทหารท่านนี้จะถูก “สะกิด” จากพี่ชายอยู่บ่อยครั้ง และตอกย้ำคำพูดเดิมๆ คือ “ขอให้อยู่เฉยๆแล้วจะดีเอง” เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกให้“น้องชาย” รักษาเนื้อรักษาตัวเพื่อเตรียมรับหน้าที่สำคัญต่อจากนี้
เพราะในสถานการณ์ที่กำลังอยู่ในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ”
คำว่า “น้องชายนายกฯ” น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าไว้ใจมากที่สุด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการเมือง หรือ “ปฏิวัติซ้ำ”ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สุดท้ายแล้ว ผบ.ทบ.คนที่ 39 คงไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ “น้องบิ๊กป้อม” หรือ “น้องบิ๊กตู่” หรือใครอาวุโสมากกว่าน้อยกว่าแต่สิ่งสำคัญ “ใคร” คนนั้นต้องบังคับบัญชาดูแลกองทัพให้เป็นหนึ่งเดียว ลดแรงกระเพื่อมภายใน เพราะต้องไม่ลืมว่า...
“เสถียรภาพ” ของกองทัพ คือ “หัวใจหลัก” ที่จะช่วยค้ำจุนรัฐบาล และ คสช.ในช่วงที่การเมืองกำลังอยู่บน “ทางสองแพร่ง”
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี