พลิกปูม‘พล.อ.สุจินดา’รสช.ผู้เสียสัตย์เพื่อชาติ บนเส้นทางทหาร การเมือง ถึง‘พฤษภาทมิฬ’
ภายหลัง “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 19 ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 01.57 น. ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ สิริอายุ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ด่วน!!!‘พล.อ.สุจินดา คราประยูร’อดีตนายกฯ-รสช. ถึงแก่อสัญกรรม ปิดตำนาน‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’)
“บิ๊กสุ” ถือว่ามีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นบุคคลในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสำคัญของประเทศไทย
พล.อ.สุจินดา...
เกิดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2476 เป็นบุตรคนสุดท้องของนายจวงกับนางสมพงษ์ คราประยูร มีพี่สาวสองคน พล.อ.สุจินดา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หลักสูตรเวสท์ปอยต์ รุ่นที่ 5 เป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่จากฟอร์ทซิลส์ (Fort Sill’s) รัฐโอคลาโฮม่า (Oklahoma) ประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จหลักสูตรเสนาธิการทหารบกรุ่นที่ 44 เป็นอันดับที่ 1 สำเร็จการศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหารบกสหรัฐอเมริกาจากฟอร์ดลีเวนเวิร์ธ (Fort Leavenworth)
เส้นทางชีวิตการรับราชการทหาร ในปี 2496 ได้รับพระราชทานยศ ว่าที่ร้อยตรี ตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 21 และได้ เดินทางไปราชการสงครามที่เวียดนาม ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายยุทธการ กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ต่อมาได้รับพระราชทานยศพันโท และเข้าดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นายอานันท์ ปันยารชุน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา
จากนั้นมาเป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก เจ้ากรมยุทธการทหารบก ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ รองเสนาธิการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก และในวันที่ 29 เม.ย. 2533 ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่อจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ลาออกจากราชการ และในวันที่ 1 ต.ค. 2534 ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่งแทน พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งเกษียณอายุราชการ
เกียรติประวัติในการปฏิบัติราชการ พล.อ.สุจินดา ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญตราต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ, มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก, เหรียญลูกเสือสดุดี, เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก, ปรมาภรณ์มงกุฎไทย, เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2, เหรียญชัยสมรภูมิ (เวียดนาม)
เส้นทางการเมือง...
พล.อ.สุจินดา เริ่มเข้ามาในเส้นทางสายการเมือง เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในช่วงที่ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นยังเคยเป็นเลขานุการ พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กระทั่งในวันที่ 23 ก.พ. 2534 เมื่อรัฐบาลขณะนั้นที่มี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ถูกยึดอำนาจโดยกองทัพในนาม คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) พล.อ.สุจินดา มีตำแหน่งเป็นรองประธาน รสช. ด้วย
หลังการรัฐประหารผ่านไปประมาณ 1 ปี จึงได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ขึ้นในวันที่ 22 มี.ค. 2535 เวลานั้นมีการตั้ง พรรคสามัคคีธรรม ซึ่งถูกมองว่าได้รับการสนับสนุนจาก รสช. รวมถึงมีแกนนำ รสช. บางคนเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคด้วย ผลการเลือกตั้ง 3 อันดับแรก พรรคสามัคคีธรรม ได้ที่นั่ง สส. ในสภามากที่สุด 79 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคชาติไทย 74 ที่นั่ง และพรรคความหวังใหม่ 72 ที่นั่ง ซึ่งพรรคสามัคคีธรรมได้จับมือกับพรรคชาติไทย พร้อมด้วยพรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทยและพรรคราษฎร ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่พรรคความหวังใหม่ เป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม พรรคเอกภาพ พรรคปวงชนชาวไทย และพรรคมวลชน
แต่เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความรุนแรงทางการเมืองครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยอย่าง “พฤษภาทมิฬ” เกิดขึ้น
เมื่อ ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ไม่สามารถรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นร่วมกันเสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา เป็นนายกฯ ซึ่ง พล.อ.สุจินดา ก็ตอบรับตำแหน่งดังกล่าว เป็นที่มาของวลี...
เสียสัตย์เพื่อชาติ!!!
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่มีสื่อไปถาม พล.อ.สุจินดา ก็จะบอกเสมอว่าตนไม่ประสงค์ที่จะสืบทอดอำนาจของ รสช.
พล.อ.สุจินดา ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 19 ของไทย เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2535 นำไปสู่กระแสต่อต้านจากสังคมไทยในเวลานั้นอย่างหนัก เนื่องจากไม่ได้มีที่มาจากการเลือกตั้ง การประท้วงก่อตัวขึ้นบริเวณถนนราชดำเนิน โดยปรากฏชื่อของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เป็นแกนนำคนสำคัญ ซึ่งพรรคพลังธรรมนั้นได้รับความนิยมจากชาวเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ อย่างจาก สะท้อนจากจำนวนที่นั่ง สส. ในกรุงเทพฯ พรรคพลังธรรมคว้ามาได้ถึง 32 จากทั้งหมด 35 ที่นั่ง
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาถึงจุดรุนแรงที่สุดช่วงวันที่ 17 – 20 พ.ค. 2535 มีการปะทะกันระหว่างมวลชนผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่ถูกสั่งให้มาสลายการชุมนุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง เมื่อปรากฏภาพของคู่ขัดแย้ง คือ พล.อ.สุจินดา ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับ พล.ต.จำลอง ในฐานะแกนนำผู้ประท้วง เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ในค่ำคืนของวันที่ 20 พ.ค. 2535
จากนั้นอีก 4 วันให้หลัง ในวันที่ 24 พ.ค. 2535 พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยให้ มีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรักษาการนายกฯ ชั่วคราว
หลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงช่วงสั้นๆ เป็นเวลา 48 วัน จนถึงวันที่ประกาศลาออกดังกล่าว พล.อ.สุจินดา ได้ยุติบทบาทการดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นและการให้คำแนะนำทางด้านการเมือง การปกครอง และการปฏิวัติรัฐประหารในยุคต่อๆ มาจากประสบการณ์ตรง
สำหรับชีวิตส่วนตัว พล.อ.สุจินดา สมรสกับคุณหญิงวรรณี คราประยูร (หนุนภักดี) มีบุตรชาย 2 คน โดยคุณหญิงวรรณี ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2564 ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในวันที่ 6 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด พล.อ.สุจินดา จะเปิดบ้านพักซอยระนอง 2 ให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนพ่อค้าและนักธุรกิจเข้าเยี่ยมคารวะ ก่อนที่ระยะหลังๆ จะเงียบหายไปหลังมีปัญหาสุขภาพ
จนกระทั่ง พล.อ.สุจินดา ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 เวลา 01.57 น. ที่ รพ.พระมงกุฎฯ สิริอายุ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน
#ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี