พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มิเคยทรงทอดทิ้งประชาชน ทุกครั้งที่ทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ไม่ว่าแห่งหนตำบลใด มิได้ทรงคำนึงถึงเส้นทางที่จะเสด็จพระราชดำเนิน หรือภยันตรายใดๆ แม้พื้นที่ที่เสด็จฯจะต้องทรงพระราชดำเนินเป็นระยะทางหลายๆ กิโลเมตรตามเส้นทางที่ขรุขระ ขึ้นเขาลงห้วยบุกป่าฝ่าดง ด้วยไม่มีเส้นทางถนนที่จะเข้าถึง ก็มิได้ทรงย่อท้อ หรือเหนื่อยหน่าย พระราชหฤทัย ไม่ทรงถือเป็นอุปสรรคกีดขวางการเสด็จฯให้ถึงตัวราษฎรที่ทรงห่วงใย และทุกครั้งที่ทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯ “ความเจริญ” ต่างๆ จะไปถึงพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ต่างๆ เหล่านั้น
โครงการสถานีพัฒนาการเกษตร ที่สูงตามพระราชดำริบ้านนาเกียนต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอมก๋อย...เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง!!!
“หมู่บ้านชาวเขา” แห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ “ทุรกันดาร” อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เกือบ 250 กิโลเมตร การเข้าถึงพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจากเขต อ.อมก๋อย มุ่งสู่ “บ้านนาเกียน” ระยะทางกว่า 57 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่ขรุขระ และแคบแนบชิดไหล่เขา แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหลายชั่วโมงมลายหายไปเมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เพราะ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยนาข้าวที่กำลังออกรวง แต่ใครเลยจะทราบว่านาข้าวที่เห็นนั้น เดิมทีเป็น “ไร่ฝิ่น-ไร่เลื่อนลอย”
กระทั่งการมาถึงของโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พื้นที่แห่งนี้จึงเปลี่ยนจาก “ไร่ฝิ่น” เป็นนาข้าวเหลืองอร่ามดั่ง “ทองคำ” บนผืนดิน
“โอวาท ยิ่งลาภ” ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการ พระราชดำริ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นหัวหน้านำคณะเดินทางไปติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านนาเกียน ซึ่ง กรมการข้าว ได้เข้าไปส่งเสริมเรื่องการปลูกข้าวแบบขั้นบันไดบนพื้นที่ภูเขา เล่าถึงความเป็นมาของโครงการดังกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวเขาในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยส่งเสริมให้ความรู้ในการผลิตสินค้าทางการเกษตรอย่างถูกต้อง มีการบริหารจัดการสินค้าทางการเกษตรที่ดี เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่มีสินค้าทางการเกษตรเพียงพอต่อการบริโภค ตามแนวปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
“สมัยก่อนชาวเขาบนพื้นที่บ้านนาเกียน จะบุกรุกแผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นด้วย จึงเกิดปัญหาการบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำลำธาร กลายเป็นสาเหตุของปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ปัญหาสภาพดินเสื่อมคุณภาพ ทำให้ชาวบ้านในพื้นได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากการขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และผลผลิตทางการเกษตรลดต่ำลง”โอวาท กล่าว
ด้วยปัญหาดังกล่าวสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านนาเกียน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมและฟื้นฟูอาชีพให้กับชาวเขา เพื่อให้มีพืชเศรษฐกิจ เช่น ผัก ผลไม้เมืองหนาว เมล็ดกาแฟ ที่สร้างรายได้ให้กับชาวเขาในพื้นที่ ทนแทนการ “ปลูกฝิ่น” เพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารให้คงอยู่ นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจากการปลูกฝิ่นของชาวเขาในพื้นที่อีกด้วย
“โอวาท” เล่าต่อว่า กรมการข้าวได้จัดตั้ง “กองประสานงานโครงการพระราชดำริ” เพื่อเป็นหน่วยงานกลางประสานการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก โดยกรมการข้าวรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลและขับเคลื่อนโครงการพระราชดำริในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการวิจัยข้าว เมล็ดพันธุ์ข้าว และการส่งเสริมการปลูกข้าวในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพื้นที่บ้านนาเกียนนั้น จากการดำเนินการที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ และเป็นต้นแบบ “โมเดล” ของโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
สำหรับบทบาทสำคัญของกรมการข้าว ในโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านนาเกียน คือ การคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตดี เหมาะสมต่อการเพาะปลูกในพื้นที่สูง ซึ่งพื้นที่บ้านนาเกียน สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 1,200-1,600 เมตร พันธุ์ข้าวที่นำมาใช้ปลูก คือ “พันธุ์บือชะสอ” ซึ่งนักวิจัยของกรมการข้าวได้ส่งเสริมให้ชาวเขาในพื้นที่ใช้เพาะปลูก นอกจากนี้ กรมการข้าวได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง “ธนาคารข้าว” เพื่อช่วยเหลือราษฎรในการจัดหาพันธุ์ข้าวเพื่อเพาะปลูก ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีข้าวบริโภคอย่างเพียงพอด้วย
หลังจากที่กรมการข้าวได้จัดตั้งธนาคารข้าวขึ้น ปัจจุบันมีข้าวเก็บในธนาคารข้าวประมาณ 5,000 กิโลกรัม และเกษตรกรได้องค์ความรู้ด้านการผลิตข้าวที่ถูกต้องและเหมาะสมทำให้ผลผลิตในพื้นที่รวมของโครงการประมาณ 1 พันกว่าไร่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการใช้พันธุ์ข้าวที่ดีและเหมาะสม โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณกว่า 20,000 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 12 ของเกษตรกรที่มีข้าวบริโภคอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ผลผลิตบางส่วนได้นำมาแปรรูป และส่งขายในเขตเมืองด้วย สร้างรายได้ให้กับชาวเขาอีกทางหนึ่ง ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ จนในพื้นที่ไม่มี “ไร่ฝิ่น-ไร่เลื่อนลอย” เหลืออยู่อีกแล้ว
โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านนาเกียน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จที่ช่วย “ปรับทัศนคติ” ของชาวเขา จากที่ในอดีตพวกเขามองว่าฝิ่นเป็นพืชทำเงินเพียงอย่างเดียวที่รู้จัก พืชอื่นๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด ฯลฯ ปลูกเพื่อใช้รับประทานและเลี้ยงสัตว์ แต่เมื่อโครงการนำพืชพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะข้าวเข้ามาทดลองปลูกบนที่สูง และมีอัตราความสำเร็จสูงขึ้น ผลการทดลองถูกถ่ายทอดไปสู่ชาวเขา จนเกิดความเชื่อมั่นที่จะปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้แทนฝิ่น
เหนือสิ่งอื่นใด...พื้นที่สูงกลับกลายเป็น “พื้นที่พิเศษ” ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างที่แม้แต่ตัว “ชาวเขา” เองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
นี่คือน้ำพระทัยจาก “พ่อหลวง” และ “แม่ของแผ่นดิน”...
นี่คือพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้กับหน่วยงานราชการรับไปดำเนินการและปฏิบัติ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ราษฎรของพระองค์ “ให้กินดีอยู่ดี มีความสุข”…
ทรงพระเจริญ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี