ท่ามกลางความเคลือบแคลงว่า“ปม” เสียชีวิตของ ร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เกิดจากเรื่องใดระหว่างเรื่องส่วนตัวหรือ “เครียด” เรื่องงาน กลับปรากฏอีกหนึ่งปมที่น่าสนใจ “แทรกซ้อน” อยู่ เมื่อตำรวจเริ่มไม่แน่ใจว่า “คดีจำนำรถ” 204 คัน ที่พบบนลานจอดรถห้างไอที สแควร์ ที่ ร.ต.อ.ทวี รับผิดชอบอยู่ เป็นรถที่รับจำนำถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดหรือไม่ หลังมีประชาชนที่มั่นใจว่าเป็นรถของตัวเองซึ่งเคยแจ้งความถูก “โจรกรรม” ไว้ในอดีต
จนมีการตั้งสมมุติฐานว่ารถที่ตรวจสอบพบอาจเกี่ยวพันกับรูปแบบโจรกรรมที่เรียกว่า “ฉ้อฉลประกันภัย” หรือไม่ ซึ่งเป็นพัฒนาการของ “แก๊งโจรกรรมรถ” ที่สร้างปัญหาให้กับทั้งตำรวจและบริษัทประกันภัยในฐานะผู้รับผิดชอบอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้...ว่ากันว่า “อันตราย” และสร้างความเสียหายมากกว่าแก๊งโจรกรรมประเภทใช้ “กุญแจปลอม-งัดหูช้าง” อย่างยิ่ง!!!
ข้อมูลจากศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ “ศปจร.ตร.”ระบุว่า การฉ้อฉลประกันภัย คือ การโกงบริษัทประกันภัย โดยอาศัยรูปแบบการโจรกรรมรถมาเป็นเครื่องมือ มี 2รูปแบบ คือ...
1.นำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ “เช่าซื้อ” จ่ายเงินดาวน์ออกมาจากร้านตัวแทนจำหน่าย และนำรถไป “จำนำ” ก่อนไปแจ้งความเป็น “คดีรถหาย” แล้วนำหลักฐานมาเบิกค่าสินไหมกับบริษัทประกันภัย คนร้ายจะเช่าซื้อรถจากบริษัทจำหน่ายรถ ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ในฐานะ “ผู้ให้เช่าซื้อ” โดยชำระเงินงวดแรก และจ่ายเบี้ยประกันจำนวนหนึ่ง แล้วนำรถไปจำหน่ายให้ผู้อื่นในราคาที่สูงกว่าที่ลงทุน เช่น นำไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน หรือหลอกขายให้ผู้อื่นโดยที่ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นรถที่ถูกต้อง
หลังจากนั้นจะแจ้งความร้องทุกข์ว่ารถถูก “โจรกรรม”จากนั้นจะนำเอกสารการแจ้งความไปแสดงกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและรับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย และบริษัทประกันภัย คนร้ายก็ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายหรือค่ารถยนต์ที่เช่าซื้อ บริษัทประกันภัยรับความเสียหายไปเต็มๆ
2.นำ “ซากรถ” ไปทำประกันภัย แล้วแจ้งความร้องทุกข์ว่ารถหาย โดยกลุ่มคนร้ายจะซื้อซากรถที่เกิดอุบัติเหตุเสียหาย แล้วนำเอกสารประกอบรถ คือ สมุดคู่มือการจดทะเบียนรถ หรือ “เล่ม” ไปทำประกัน เมื่อมีประกันภัยแล้วจะแจ้งความว่ารถถูกโจรกรรม แล้วนำหลักฐานแจ้งความไป “เคลม” รับเงินจากบริษัทประกันภัย
“ศปจร.ตร.” พบว่า คดีรถหายที่เกิดจากการ “ฉ้อโกง” เช่นนี้มีมากกว่าครึ่ง!!!
ด้าน “ยุทธพงษ์ วงศ์มณี” ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการด้านป้องกันและป้องปรามการฉ้อฉล สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย บอกว่า ทุกวันนี้ “แก๊งลักรถ”พัฒนากระบวนการขโมยรถมาเป็นการฉ้อฉลประกันภัย หรือ “ฉ้อฉลไฟแนนซ์” มากขึ้น มีการเปิดเป็นบริษัทดูน่าเชื่อถือ จ้างบุคคล “สวมรอย” เป็นผู้เช่าซื้อจ่ายค่าจ้างให้เฉลี่ยคันละ 30,000 บาท ขณะที่ผู้ค้ำประกันที่มีส่วน “รู้เห็น” ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยคันละ 5,000-10,000 บาท
พฤติการณ์ คือ เมื่อได้ผู้เช่าซื้อ “ตัวปลอม” แล้ว จะจัดการ “ปลอมโปรไฟล์” ใหม่ทั้งหมด เช่น ถ้ามาในรูปแบบบริษัท แก๊งฉ้อฉลจะเปลี่ยนรูปหน้าในสำเนา“บัตรประชาชน” ปลอม “ใบรับรองเงินเดือน” ด้วยการรับคนเหล่านี้เป็นพนักงานของบริษัทแบบหลอกๆ เพื่อจะได้มีบัญชีธนาคาร จากนั้นนำเงินที่อ้างว่าเป็น“เงินเดือน” ใส่ให้ทุกเดือน แล้วสร้างการเคลื่อนไหวทางบัญชี พอครบ 6 เดือน ซึ่งเข้าเกณฑ์เช่าซื้อได้ ก็ออกหนังสือรับรองการทำงานให้ เพียงเท่านี้ก็ไปเช่าซื้อรถได้แล้ว
“เมื่อได้ตัวละครครบ แก๊งเหล่านี้จะตระเวนยื่นซื้อรถจากโชว์รูมต่างๆ ถ้าเป็นกลุ่มที่ส่งขายชายแดนจะเลือกซื้อตามออเดอร์ที่มีอยู่ในมือคราวละเป็น 10 แห่ง แล้ววางเงินดาวน์ต่ำที่สุด นอกจากนี้ยังส่งคนในเครือข่ายเข้ามาเป็นเซลขายรถ เพื่อให้ง่ายต่อการปล่อยรถด้วย ซึ่งเราตรวจพบก็ขึ้นบัญชีดำไว้”
เมื่อได้รถมาแล้วผู้เช่าซื้อตัวปลอมจะส่งรถให้ขบวนการ พวกนี้จะส่งรถเป็นคันๆ หรือถอดอะไหล่ส่งขายชายแดน หรือขายบนเว็บไซต์ที่ประกาศ “โจ๋งครึ่ม”ว่าขายรถหนีไฟแนนซ์ มี “คู่มือ” หนีไฟแนนซ์ให้ด้วย โดยกลุ่มที่ประกาศขายบนเว็บไซต์จะมีใช้วิธี “จรยุทธ์” กระจายเก็บรถไว้ในสถานที่ต่างๆ เช่น “ลานจอดรถ” ในหมู่บ้าน หรือตาม “ตลาดนัด” แล้วคลุมผ้าไว้ ถอดทะเบียน มีคนของเครือข่ายคอยเฝ้าดูแล
ส่วนที่จอดคราวละเป็นร้อยๆคันแบบที่ห้างไอทีสแควร์ ถือว่า “ย่ามใจ” เพราะเป็นวิธีเดิมๆ ที่ตำรวจตรวจสอบได้ง่าย และตามทลายได้หลายแห่งแล้ว
“ยุทธพงษ์” บอกอีกว่าวิธีฉ้อฉลประกันภัยอีกรูปแบบที่พบ คือ พวกธุรกิจให้เช่ารถ และ“แชร์รถเช่า” วิธีการ คือ ใช้เอกสารที่ถูกต้องครบถ้วนมาขอเช่าซื้อรถครั้งละ 10-20 คัน อ้างว่าไปทำธุรกิจรถเช่า เมื่อตรวจสอบเบื้องต้นมีหลักฐานบริษัทชัดเจน ไฟแนนซ์ก็ปล่อยรถให้ บางแก๊งดึงประชาชนมาร่วมเป็น “ผู้เช่าซื้อ” โดยหลอกให้ไปซื้อรถ หรือมีรถอยู่แล้ว พวกนี้จะเข้าไปหลอกด้วยการเสนอเงินให้ เช่นผู้เช่าซื้อจ่ายค่างวดเดือนละ 12,000บาท แก๊งฉ้อฉลจะจ่ายให้ 20,000 บาท เพื่อขอเช่ารถต่อ แล้วจ่ายค่าเช่าให้ผู้เช่าซื้อสัก3-4 งวด มีการเซ็นสัญญา หรือใครมีเพื่อนก็ไปหาเพื่อนมาแลก “ค่านายหน้า” พอได้รถตามออเดอร์แก๊งฉ้อฉลก็ขนรถออกชายแดน แล้วติดต่อไม่ได้“ปิดบริษัท” หนี
“ผลกระทบจากแก๊งฉ้อฉลลามไปถึงประชาชนทั่วไป เพราะเมื่อธนาคารเดือดร้อน ไม่ได้รับการชำระหนี้จากผู้เช่าซื้อที่เมื่อรถหายส่วนใหญ่จะไม่ผ่อนต่อ ทำให้เกิดหนี้เสีย เกิดผลกระทบต่อผลกำไร ธนาคารก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย เช่น 2.50 เป็น 2.75 สตางค์ เพื่อแบ่งความเสี่ยงจากกรณีที่อาจถูกฉ้อฉล สุดท้ายสุจริตชนก็ต้องมาแชร์ความเสี่ยง ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ถ้าความเสี่ยงเพราะแก๊งฉ้อฉลหมดไป ดอกเบี้ยเช่าซื้อรถอาจถูกลง” ยุทธพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
ทุกวันนี้ “แก๊งฉ้อฉลประกันภัย” อาละวาดหนัก สร้างมูลค่าความเสียหายมหาศาล เพราะได้รถไปคราวละมากๆ แต่ต้นตอของปัญหาเกิดขึ้นจากช่องว่างของกฎหมาย เงื่อนไขประกันภัย และโปรโมชั่นของโชว์รูมต่างๆ ที่พยายามแข่งขันทางการตลาด ทำให้การเช่าซื้อรถทำได้ง่าย ดังนั้นจะหวังพึ่งใครฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ทุกฝ่ายทุก “จับมือ” ร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่เช่นนั้น...
มิจฉาชีพเหล่านี้คง “ลอยนวล” อยู่ต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี