ผ่านพ้นไปแล้วกับเทศกาลสงกรานต์ “ปีใหม่ไทย” ช่วงเวลาที่คนไทยจะได้หยุดยาวเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาไปรวมญาติ หรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เป็นช่วงเวลาแห่งการ “พักผ่อน” เพื่อเตรียมตัวกลับมา “สู้ชีวิต”กันใหม่ในเวลาอีกหลายเดือนที่เหลือของปี
เมื่อกล่าวถึงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่สากล 1 มกราคม หรือปีใหม่ไทยอย่างสงกรานต์ 13 เมษายน หัวข้อน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ “ความหวัง-ความสุข”เพราะที่แต่ละคนยังดำเนินชีวิต ยังขยันศึกษาเล่าเรียนทำมาหากินอยู่ ก็เพื่อต้องการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวทั้งสิ้น
ไม่นานนี้ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ อาจารย์กลุ่มสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ในฐานะนักวิจัยประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขียนบทความ “สุขภาพดีช่วยสร้างความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย” โดยอ้างอิงการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เกี่ยวกับความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย เมื่อปี 2555 รวมถึงงานวิจัย Valuing social relationships and improved health condition among Thai population ที่ทำไว้ร่วมกับ ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงศ์
พบว่า..คนไทยมองเรื่อง “สุขภาพดี” สำคัญที่สุด!!!
“เมื่อเทียบความพึงพอใจที่ได้จากการมีสุขภาพดี การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม และการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น กับหน่วยวัดที่เป็นเงิน ปรากฏว่า การมีสุขภาพดีให้ความพึงพอใจในชีวิตมากที่สุด ถ้าเทียบเป็นเงินก็ให้ความพึงพอใจเท่ากับการได้รับเงินรายได้ทั้งเดือน”
ดร.วรวรรณกล่าวและอธิบายต่อไปว่า การมีสุขภาพดียังส่งผลถึง “ความสุขใจ” ในฐานะ “ผู้ให้” อีกด้วย กล่าวคือ เมื่อมีสุขภาพดีย่อมสามารถออกไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ ทำให้คนมีความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน “การที่ต้องรอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น กลับทำให้ความพึงพอใจในชีวิตลดลง” เพราะคนรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นมักจะเป็นผู้ขาดแคลน หรือผู้ที่รู้สึกขาดแคลน หรือรู้สึกว่าตนเองมีไม่พอจึงต้องรับจากผู้อื่น
มองตนเองอย่าง “ไร้คุณค่า” เพราะเป็น “ภาระ” ของคนรอบข้าง!!!
สอดคล้องกับผลการสำรวจของ “นิด้าโพลล์” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ในหัวข้อ “สุข–ทุกข์ ของผู้สูงอายุไทย ปี 2559”ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 1,250 คน ระหว่างวันที่ 23–28 มี.ค. 2559 เนื่องในโอกาสวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี นอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้ว ยังเป็นวันผู้สูงอายุไทยอีกด้วย
ในคำถามที่ว่า “หากท่านขอพรให้กับตัวเองได้ ท่านจะขออะไรบ้าง” พบว่าผู้สูงอายุกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 86.14 ตอบว่า “ขอให้ตนเองมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง” อายุยืน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆ หรือหายขาดจากการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ อยู่กับลูกหลานไปนานๆ สามารถพึ่งพาตนเองได้
อนึ่ง..ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ “สังคมผู้สูงอายุ”มาหลายปีแล้ว ดังผลการสำรวจประชากรสูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2557 ไทยมีผู้สูงอายุทั้งสิ้น 10,014,699 คน คิดเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่เปิดเผยเมื่อเดือน เม.ย. 2558 พบว่า จำนวนเด็กไทยเกิดใหม่ลดลงจาก 8 แสนคนต่อปี มาอยู่ที่ 6 แสนคนต่อปี เพราะคนไทยรุ่นใหม่ๆ แต่งงานช้าและไม่มีนิยมมีบุตร
“แก่ชราอย่างมีคุณภาพ” จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญของยุคนี้..และยุคหลังจากนี้!!!
ทว่าการที่คนคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ไปถึงวัยชราในสภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงได้นั้น ต้องสร้างตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่มสาว แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนวัยหนุ่มสาว หรือ “วัยทำงาน” ของไทยยังเต็มไปด้วย “ความเสี่ยง” เช่นเมื่อเดือน พ.ค. 2558 กรมอนามัย เปิดเผยข้อมูล 10 ความเสี่ยงคนไทยวัยแรงงาน พบว่าอันดับ 1 คือ “โรคอ้วน”ขณะที่อันดับ 2 คือ “โรคที่สืบเนื่องจากโรคอ้วน” เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
สาเหตุสำคัญคือ “อดมื้อเช้า-ดื่มเหล้าสูบบุหรี่จัด-ผัดผ่อนไม่ออกกำลังกาย-จิตใจเคร่งเครียด”!!!
“วัยทำงานดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วยการกินอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะหากไม่กินร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำตาล ทำให้ความคิดตื้อตัน สมองไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย และเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดหวานมัน เค็ม เพิ่มผัก ผลไม้
นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและรอบพุงวันละ 30-60 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวในที่ทำงาน เช่น บริหารร่างกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ประมาณ 5 นาที 2 ครั้งต่อวัน เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ขี่จักรยานหรือเดินไปทำงาน เป็นต้น รู้จักจัดการความเครียดโดยการทำงานอดิเรก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่” นพ.พรเทพศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย (ในขณะนั้น) กล่าว
นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว “เศรษฐกิจ” ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การสำรวจของนิด้าโพลล์ หัวข้อ “ภาวะทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย ปี 2559” ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 1,250 คน ระหว่างวันที่ 23–28 มี.ค. 2559 เช่นเดียวกัน
ในคำถามที่ว่า “ในปัจจุบันท่านมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบหรือไม่ และถ้าหากมี ท่านมีภาระหนี้สินในด้านใดบ้าง” แม้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.68 ตอบว่าไม่มีหนี้สิน แต่รองลงมาไม่ห่างกันมากนักร้อยละ 48.32 ตอบว่ามีหนี้สิน ทั้งหนี้ทางธุรกิจ การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมถึงการผ่อนสิ่งต่างๆ อาทิ ที่อยู่อาศัยยานพาหนะ ฯลฯ
รายงานของ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หัวข้อ “วาระปฏิรูปที่ 13 : การปฏิรูปการเงินฐานรากและสหกรณ์ออมทรัพย์ : แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้
ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน” เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2558 ระบุถึงความจำเป็นในการสร้างความรู้ด้านวินัยการเงินให้กับประชาชนไว้ว่า คนไทยกว่าร้อยละ 70 มีความรู้เรื่องการเงินค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อีกทั้ง โครงสร้างประชากรไทยจะมีผู้สูงอายุมากขึ้น ในปี 2557 มีผู้สูงอายุราว 10 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 19 ล้านคน ในปี 2577 สวนทางกับจำนวนประชากรเกิดใหม่ที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ
“แข็งแรง-ร่ำรวย” ก่อนชรา!..ถ้าอยากได้ต้อง “ทำเอง” และ “ทำทันที”!!!
“รักษาสุขภาพ-เก็บหอมรอมริบ” เพื่ออนาคต “สบายหลังเกษียณ”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี